เอปสัน เติบโตรวมปี 65 กว่า 10% พร้อมเปิดกลยุทธ์รุกต่อธุรกิจ B2B

Share

เอปสัน ประเทศไทยเผยผลดำเนินงานปี 65 สะท้อนความสำเร็จโดยรวมจากทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ด้วยการกวาดยอดขายเติบโตทะลุ 10% เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน โดยกลุ่มสินค้าที่มีการเติบโตมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์อุตสาหกรรม โฮมโปรเจคเตอร์ และเครื่องพิมพ์สิ่งทอระบบดิจิทัล พร้อมเดินหน้า เติมความสดใหม่ให้กับธุรกิจผ่านกลยุทธ์ “NEW 5” และเน้นสร้างคุณค่าที่แตกต่างผ่านกลยุทธ์ Sustainability Marketing เพื่อธุรกิจ B2B ยุคใหม่

นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในปี 2565 เอปสันรับรู้รายได้รวมเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 10% เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการที่ภาคธุรกิจเอกชนและหน่วยงานราชการได้มีการลงทุนกับอุปกรณ์ไอที เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภายในองค์กรอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสถาบันการศึกษาจำนวนมากเริ่มนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้าไปใช้ในกระบวนการเรียนการสอนเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีมาตรการสนับสนุนการใช้จ่ายของภาครัฐผ่านโครงการต่างๆ และการที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลง ทำให้มีการจัดกิจกรรมการตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมาก เช่นเดียวกับการกลับมาให้บริการอีกครั้งของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและนักลงทุนต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศได้เป็นปกติ รวมไปถึงภาคการผลิตของไทยก็ยังใช้ระบบซัพพลายเชนภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ก็เริ่มคลี่คลาย ซึ่งตัวอย่างเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ตลาดไอทีในประเทศมีแนวโน้มการเติบโตเพิ่มขึ้น”

สำหรับธุรกิจของเอปสันประเทศไทยในปีที่ผ่านมา กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มสินค้าเครื่องพิมพ์อุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูงที่สุดถึง 170% ซึ่งเอปสันได้มีการทำกิจกรรมการตลาดเพื่อแนะนำสินค้าอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความมั่นใจของผู้บริโภคในแบรนด์เอปสันที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการพิมพ์ ทำให้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากตลาด ถัดมาคือกลุ่มผลิตภัณฑ์โฮมโปรเจคเตอร์ที่มีการเติบโตอยู่ที่ 64% โดยเป็นผลมาจากจำนวนลูกค้าติดตั้งโฮมเธียเตอร์ระดับไฮเอนด์ภายในบ้านเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากกระแสความสนใจชมการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคในการดูภาพยนตร์แบบส่วนตัวภาย ในบ้านมากขึ้น และอันดับที่ 3 ได้แก่กลุ่มเครื่องพิมพ์สิ่งทอระบบดิจิทัลที่เติบโต 52% โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคธุรกิจโดยรวม

ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่มีการเติบโตได้ดี ได้แก่กลุ่มผลิตภัณฑ์โปรเจคเตอร์ความสว่างสูง ที่มีการเติบโตอยู่ที่ 43% กลุ่มเครื่องพิมพ์มินิแล็บที่เติบโต 29% ขณะที่เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทขนาดใหญ่ที่ทางเอปสันได้นำเข้าไปทำตลาดแข่งขันกับกลุ่มเครื่องถ่ายเอกสารก็มีการเติบโตที่ดี โดยมียอดขายเพิ่มขึ้น 23% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการเข้าไปชิงส่วนแบ่งตลาดจากเครื่องถ่ายเอกสารตามสำนักงานที่ใช้เทคโนโลยีเลเซอร์อยู่เดิม

ด้านเป้าหมายและกลยุทธ์ธุรกิจของปี 2566 นายยรรยงได้กล่าวว่า “ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ตลาดไอทีต้องเผชิญกับบรรยากาศที่อึมครึม เริ่มตั้งแต่วิกฤตโควิด-19 มาจนถึงผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว เอปสันได้ดำเนินกลยุทธ์ในหลายมิติจนสามารถก้าวข้ามความท้าทายมาได้ ในปี 2566 นี้ บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าที่จะสร้างการเติบโตให้ได้มากกว่า 10% เป็นปีที่สามติดต่อกัน โดยได้วางกลยุทธ์ให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงในช่วง Post COVID19 เช่นนี้ ที่จะเน้นสร้างความเคลื่อนไหวใหม่ๆ ให้กับธุรกิจที่ดำเนินงานอยู่ ผ่านกลยุทธ์ที่เรียกว่า ‘New 5’ ซึ่งประกอบด้วย New S-curve, New Target, New Business Model, New Service และ New Experience โดยยึดหลักความยั่งยืน (Sustainability) เป็นสารสำคัญที่จะถ่ายทอดผ่านกลยุทธ์ทุกทาง”

นายยรรยง กล่าวเสริมว่า “กลยุทธ์ที่กล่าวมานั้นแสดงถึงความมุ่งมั่นและความต่อเนื่องของเอปสัน ประเทศไทยในการทำตลาดเชิงรุกและมีพลวัต มุ่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ด้วยโซลูชั่นด้านผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อนำเสนอ “คุณค่าที่แตกต่าง” (Value) ที่ผสมผสานแนวคิดด้านความยั่งยืน (Sustainability) ทั้งในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดต้นทุน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นำพาธุรกิจของผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์เอปสันเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกค้ากลุ่ม B2B ต้องการมากที่สุดจากการลงทุนเพื่อยกระดับธุรกิจให้พร้อมที่จะแข่งขันในตลาดที่เข้าสู่ยุค Digitalization อย่างเต็มตัว และสามารถเกิด Disruption ได้ทุกเวลา”

สำหรับปี 2566 นี้ เช่นเดียวกับเอปสันในทุกตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ เอปสัน ประเทศไทยจะยกระดับความสำคัญในเรื่องความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม โดยจะผลักดันประเด็นดังกล่าวเข้าไปสู่กลไกทางธุรกิจและกิจกรรมทางการตลาดมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการขานรับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมในระยะยาวของไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชั่น หรือที่เรียกว่า ‘Environmental Vision 2050’ รวมถึงการจัดกิจกรรมด้านการอนุรักษ์และฟื้นฟูผืนป่าร่วมกับ WWF ซึ่งลงนามสัญญาในฐานะ International Partnerships กับทางสำนักงานใหญ่เป็นระยะเวลา 3 ปีนับจากนี้ หลังจากที่ก่อนหน้า ได้ร่วมมือกันทำงานบนโปรเจ็คท์อนุรักษ์ปะการังมาแล้วทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่ปี 2022

นายยรรยง กล่าวว่า “เอปสันให้ความสำคัญกับคุณค่าความยั่งยืน โดยบริษัทฯ เป็นบริษัทแรกในอุตสาหกรรมการผลิตของญี่ปุ่นที่เปลี่ยนมาใช้พลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนที่โรงงานผลิตภายในประเทศได้อย่างสมบูรณ์ และได้เดินหน้าเปลี่ยนในทุกโรงงานทั่วโลกมาอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะเปลี่ยนได้ทั้งหมดภายในปี 2566 นี้ ซึ่งได้ประมาณการว่าจะสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ต่อปีได้ถึงราว 350,000 ตัน ปัจจุบัน โรงงานผลิตที่ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียก็ได้เปลี่ยนมาใช้พลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

“ทุกวันนี้ ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมได้ผสานเข้ากับการทำธุรกิจของบริษัทมากมายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งยังมีกระแสเรียกร้องจากผู้บริโภคโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ให้ผู้ผลิตสินค้าและผู้ประกอบการตลอดซัพพลายเชนให้ความ สำคัญกับในเรื่องดังกล่าวมากยิ่งขึ้น ความยั่งยืนจึงเป็นตั้งแต่ไอเดียของกิจกรรมซีเอสอาร์ ไปจนถึงกลยุทธ์ในการทำตลาด และโดยเฉพาะในองค์กรขนาดใหญ่ ความยั่งยืนกลายเป็นพันธกิจสำคัญที่กำหนดเป้าหมายและรูปแบบการทำธุรกิจ เช่นเดียวกับไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชั่น ที่ความยั่งยืนได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของดีเอ็นเอองค์กรไปแล้ว” นายยรรยง กล่าว