เคทีซีเผยสภาวะเศรษฐกิ จในประเทศยังคงชะลอตัว ผู้บริโภคใช้จ่ายระมัดระวัง ส่งผลภาพรวมของพอร์ตสินเชื่ อทรงตัว มีมูลค่าพอร์ตรวมเท่ากับ 105,803 ล้านบาท จำนวนสมาชิกเท่ากับ 3.45 ล้านบัญชี โดยครึ่งปีแรกกำไรสุทธิ 3,629 ล้านบาท ในขณะที่ NPL รวมลดลงอยู่ที่ 1.97% ต่ำกว่าภาพรวมอุตสาหกรรม เดินหน้าสู่เป้าหมายหลักในการรั กษาคุณภาพพอร์ตสินเชื่อ สร้างมูลค่ากำไรสูงขึ้นอย่างต่ อเนื่อง รวมทั้งสร้างโอกาสให้ผู้บริ โภคเข้าถึงผลิตภัณฑ์สินเชื่อต่ างๆ และเสนอแนวทางในการช่วยเหลือลู กหนี้ที่เหมาะสมและเป็นธรรม
นางพิทยา วรปัญญาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ภาพรวมของอุตสาหกรรมสินเชื่อผู้ บริโภคเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว จากแรงกดดันของหนี้ครัวเรือนที่ อยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยั งสะท้อนความเชื่อมั่นในเกณฑ์ดี ติดต่อกันถึงเดือนมิถุนายน 2567 ทำให้การใช้จ่ายรวมของผู้ บริโภคยังมีการเติบโตบ้าง โดยเคทีซีมีสัดส่วนของลูกหนี้บั ตรเครดิตและลูกหนี้สินเชื่อบุ คคล (ไม่รวมสินเชื่อที่มีทะเบี ยนรถเป็นประกัน) เทียบกับอุตสาหกรรมระหว่างเดื อนมกราคม-พฤษภาคม 2567 เท่ากับ 14.9% และ 6.3% ตามลำดับ ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดของปริ มาณการใช้จ่ายผ่านบัตรของเคทีซี เท่ากับ 12.8%”
“ช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ภาพรวมการดำเนินงานของเคทีซี และกลุ่มบริษัทอยู่ในระดับทรงตั ว จากภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ ยังมีความไม่แน่นอน ผู้บริโภคใช้จ่ายอย่างระมัดระวั ง แม้ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเติ บโตเพิ่มขึ้น แต่เป็นการใช้จ่ายเพื่อสิ่งที่ จำเป็นในชีวิต ขณะที่พอร์ตสินเชื่อบุคคลขยายตั วเพียงเล็กน้อย จากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่มีสั ดส่วนสูงขึ้น ประกอบกับเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่ อที่รัดกุม สำหรับคุณภาพพอร์ตของกลุ่มบริษั ทยังบริหารจัดการได้ดี โดยมี NPL รวมต่ำกว่าอุตสาหกรรม และมีเงินสำรองเพียงพอโดยมี NPL Coverage Ratio ในระดับแข็งแกร่งที่ 363.3%”
“สำหรับกำไรสุทธิของเคทีซีเที ยบจากงวดเดียวกันของปี 2566 ตามงบการเงินเฉพาะกิจการครึ่งปี แรก 2567 เท่ากับ 3,722 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 2.0%) และในไตรมาส 2/2567 เท่ากับ 1,829 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1.3%) โดยงบการเงินรวมของกลุ่มบริษั ทครึ่งปีแรก 2567 เท่ากับ 3,629 ล้านบาท (ลดลง 1.3%) และไตรมาส 2/2567 เท่ากับ 1,826 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1.1%) โดยกลุ่มบริษัทมีรายได้รวมเท่ ากับ 6,781 ล้านบาท เติบโต 8.7% จากช่วงเดียวกันของปี 2566 จากรายได้ค่าธรรมเนียมและหนี้สู ญได้รับคืนที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายรวมอยู่ที่ 4,497 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.8% ส่วนหนึ่งจากค่าธรรมเนียมและบริ การที่เพิ่มขึ้นตามปริมาณธุ รกรรมที่ขยายตัว รวมถึงผลขาดทุนด้านเครดิตที่ คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) สูงขึ้น จากการตัดหนี้สูญและการตั้ งสำรองเพิ่มตามหลักความระมั ดระวัง เพื่อรองรับความผันผวนที่อาจเกิ ดขึ้นในอนาคต อีกทั้งต้นทุนทางการเงินที่ปรั บขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของอั ตราดอกเบี้ยในตลาดการเงิน”
ทั้งนี้ ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 เคทีซีมีฐานสมาชิกรวม 3,448,530 บัญชี เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ และดอกเบี้ยค้างรับรวม 105,803 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 0.2%) อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุ ณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวม (NPL) 1.97% แบ่งเป็นสมาชิกบัตรเครดิต 2,717,213 บัตร (เพิ่มขึ้น 4.3%) เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้บั ตรเครดิตและดอกเบี้ยค้างรับรวม 69,253 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 0.9%) NPL บัตรเครดิตอยู่ที่ 1.42% ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรสำหรั บงวดไตรมาส 2/2567 มูลค่า 70,949 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 11.5%) สมาชิกสินเชื่อบุคคลเคทีซี 731,317 บัญชี (ลดลง 2.9%) เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้สิ นเชื่อบุคคลและดอกเบี้ยค้างรั บรวม 34,028 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1.9%) NPL สินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 2.21% โดยมียอดสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” จำนวน 2,699 ล้านบาท (ขยายตัว 62.8%) ในส่วนของลูกหนี้ตามสัญญาเช่าซื้ อในบริษัท กรุงไทยธุรกิจลีสซิ่ง จำกัด (KTBL) มีมูลค่า 2,523 ล้านบาท (ลดลง 28.7%) ซึ่งเคทีซีได้หยุดปล่อยสินเชื่ อประเภทนี้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2566 และปัจจุบันมุ่งเน้นการติ ดตามหนี้และบริหารจัดการคุ ณภาพพอร์ตสินเชื่อที่มีอยู่
ในส่วนของแหล่งเงินทุน กลุ่มบริษัทมีเงินกู้ยืมทั้งสิ้ น 61,965 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็นเงินกู้ยื มระยะสั้น (รวมส่วนของเงินกู้ยืมและหุ้นกู้ ที่ครบกำหนดชำระภายใน 1 ปี) 28.0% และเงินกู้ยืมระยะยาว 72.0% อัตราส่วนของหนี้สินต่อส่ วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 1.97 เท่า ลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกั นของปีก่อนหน้าที่ 2.18 เท่า ซึ่งต่ำกว่าภาระผูกพัน (Debt Covenants) ที่กำหนดไว้ 10 เท่า และมีวงเงินกู้ยืมคงเหลือ (Available Credit Line) 28,171 ล้านบาท (ระยะสั้น 22,671 ล้านบาท และระยะยาว 5,500 ล้านบาท) โดยกลุ่มบริษัทมีหุ้นกู้และเงิ นกู้ยืมที่จะครบกำหนดในครึ่งหลั งของปี 2567 ทั้งสิ้น 7,845 ล้านบาท