มะเร็งตับเป็นปัญหาสาธารณสุขที่ท้าทายของไทย โดยเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งจากโรคมะเร็งทั้งหมด และติดอันดับ 4 ของโลก รองจากจีน อินเดีย และสหรัฐอเมริกา จากสถิติปี 2565 มีผู้ป่วยรายใหม่ถึง 27,963 รายต่อปี หรือประมาณ 74 รายต่อวัน ซึ่งปัญหาหลักของมะเร็งตับคือผู้ป่วยมักเข้ารับการรักษาในระยะลุกลาม ทำให้โอกาสรอดชีวิตลดลงอย่างมาก
นวัตกรรมช่วยคัดกรองมะเร็งตับระยะเริ่มต้น
การตรวจพบมะเร็งตับตั้งแต่ระยะแรกสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาได้ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์จึงได้พัฒนาเทคโนโลยี “AICEDA LIVER” ที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) วิเคราะห์ภาพอัลตราซาวด์เพื่อตรวจจับรอยโรคมะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ำดีโดยอัตโนมัติ ซึ่งช่วยลดระยะเวลารอผลตรวจเหลือเพียง 1.30 นาที และมีความแม่นยำสูงถึง 90% โครงการนำร่องที่ อ.บ้านหลวง จ.น่าน ได้ช่วยให้ประชาชนกว่า 2,000 คนได้รับการตรวจคัดกรอง ซึ่งต้องทำซ้ำทุก 6-12 เดือน อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดเรื่องจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ที่สามารถอ่านและวิเคราะห์ผลได้ ทำให้จำเป็นต้องเร่งพัฒนาบุคลากรและเทคโนโลยี AI ให้แม่นยำยิ่งขึ้น
ยานวัตกรรม: ทางรอดของผู้ป่วยมะเร็งตับระยะลุกลาม
แพทย์หญิงจอมธนา ศิริไพบูลย์ จากโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เปิดเผยว่า ผู้ป่วยที่ตรวจพบมะเร็งตับในระยะลุกลามมักมีอายุขัยเฉลี่ยเพียง 4-8 เดือน ปัจจุบันมี ยามุ่งเป้า (Targeted Therapy) และ ยาภูมิคุ้มกันบำบัดร่วมกับยายับยั้งการสร้างหลอดเลือด (Immunotherapy + Anti-angiogenesis) ที่ช่วยยืดชีวิตผู้ป่วยออกไปได้เฉลี่ย 13-19 เดือน เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับยา ซึ่งจะเสียชีวิตภายใน 3-6 เดือนหลังได้รับการวินิจฉัย
ความท้าทาย: การเข้าถึงยานวัตกรรม
แม้ว่ายามุ่งเป้าและยาภูมิคุ้มกันบำบัดได้รับการขึ้นทะเบียนยาแล้ว แต่ปัจจุบันมีเพียงผู้ป่วยบางกลุ่มเท่านั้นที่เข้าถึงการรักษาได้ เนื่องจากยาภูมิคุ้มกันบำบัดยังไม่ถูกบรรจุอยู่ใน บัญชียาหลักแห่งชาติ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ขาดโอกาสได้รับการรักษาด้วยนวัตกรรมนี้
นายแพทย์จำรัส พงษ์พิศ จากโรงพยาบาลหนองคาย ระบุว่า แม้ยานวัตกรรมอาจมีต้นทุนสูง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายของการรักษาแบบเดิม เช่น ค่าห้อง ICU ค่าเครื่องช่วยหายใจ และค่าฟอกไต รวมถึงภาระของบุคลากรทางการแพทย์ การใช้ยานวัตกรรมอาจช่วยลดต้นทุนโดยรวมได้ในระยะยาว อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ข้อเสนอ: ปรับเกณฑ์พิจารณาความคุ้มค่า
ศิรินทิพย์ ขัติยะกาญจน์ ประธานมูลนิธิเครือข่ายมะเร็ง เปิดเผยว่า การพิจารณาให้ยานวัตกรรมเข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติยังคงอิงอยู่กับเกณฑ์ ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งกำหนดเพดานไว้ที่ 160,000 บาทต่อปีสุขภาวะ ทำให้ยาที่มีต้นทุนสูงอาจไม่ผ่านเกณฑ์นี้ อย่างไรก็ตาม ความคุ้มค่าของยาไม่ควรพิจารณาแค่ด้านต้นทุน แต่ควรคำนึงถึง คุณค่าของชีวิตผู้ป่วยและผลกระทบทางสังคม ด้วย
กองทุนมะเร็ง: ทางออกที่เป็นไปได้
ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ร่วมกับคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้ง กองทุนยามะเร็ง เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยเข้าถึงยานวัตกรรมได้เร็วขึ้น โมเดลนี้เคยประสบความสำเร็จในประเทศต่าง ๆ เช่น อังกฤษ อิตาลี และไต้หวัน อย่างไรก็ตาม ยังมีอุปสรรคหลายด้านที่ต้องแก้ไขเพื่อให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย
สรุป: ถึงเวลาสร้างความเท่าเทียมทางการรักษา
การผลักดันยานวัตกรรมเข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับระบบสาธารณสุขไทย และช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งตับทุกคนสามารถเข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพโดยไม่ถูกจำกัดด้วยฐานะทางเศรษฐกิจ ถึงเวลาที่รัฐต้องจริงจังในการพิจารณาปรับเกณฑ์ให้ทันสมัย เพื่อให้ความหวังของผู้ป่วยกลายเป็นความจริง