ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัว “MCSeT” นวัตกรรมพลิกโฉมอุตสาหกรรมไทย สู่ยุคพลังงานอัจฉริยะและยั่งยืน

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัว "MCSeT" นวัตกรรมพลิกโฉมอุตสาหกรรมไทย สู่ยุคพลังงานอัจฉริยะและยั่งยืน
Share

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) ผู้นำระดับโลกด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันในการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการพลังงาน ด้วยการเปิดตัว “MCSeT” รุ่นใหม่ล่าสุด นวัตกรรมล้ำสมัยที่พร้อมยกระดับโซลูชันการจัดการพลังงานให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืนยิ่งขึ้น ตอบโจทย์ความต้องการที่ทวีความรุนแรงขึ้นของภาคอุตสาหกรรมไทย

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายในการพัฒนาระบบจำหน่ายไฟฟ้าที่เชื่อถือได้และมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างเร่งด่วน ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ชี้ชัดว่า การเติบโตของภาคอุตสาหกรรมเป็นตัวขับเคลื่อนหลักที่ทำให้ความต้องการไฟฟ้าพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 ผู้ใช้ไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรมมีสัดส่วนสูงถึง 44.9% สอดคล้องกับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP) ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กำลังเดินหน้าเพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ดังนั้น โซลูชันการจำหน่ายไฟฟ้าจึงต้องก้าวล้ำด้วยประสิทธิภาพ ความยั่งยืน และการผสานรวมเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการเชื่อมต่อ การมองเห็น และการบริหารจัดการระบบแบบเรียลไทม์

MCSeT รุ่นใหม่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านี้อย่างชาญฉลาดและครบวงจร พร้อมสนับสนุนการพลิกโฉมเครือข่ายการจำหน่ายไฟฟ้าให้ “พร้อมใช้งานสำหรับอนาคต” อย่างแท้จริง

MCSeT รุ่นใหม่: ก้าวล้ำด้วยนวัตกรรมที่เหนือกว่า เพื่ออนาคตพลังงานที่ปลอดภัยและยั่งยืน

นวัตกรรม MCSeT โดดเด่นด้วยคุณสมบัติหลักที่ตอบโจทย์ความท้าทายด้านพลังงานในยุคปัจจุบัน:

  • การผสานรวมดิจิทัล (Digital Integration) ขั้นสูง: หัวใจสำคัญของ MCSeT คือการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ ด้วยการใช้เซ็นเซอร์ที่เชื่อมต่อกับ IoT (Internet of Things) ทำให้สามารถตรวจจับสถานการณ์ที่อาจนำไปสู่การหยุดทำงานของระบบได้มากถึง 63% ช่วยให้วางแผนการบำรุงรักษาได้อย่างทันท่วงทีเมื่อสภาพแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลง ไม่เพียงเท่านั้น MCSeT ยังทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์และบริการดิจิทัลของ Schneider Electric เพื่อการบริหารจัดการพลังงานอย่างชาญฉลาด และนำข้อมูลมาช่วยในการตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การบำรุงรักษาตามเงื่อนไข (Condition Based Maintenance) อัจฉริยะ: MCSeT รุ่นใหม่ มาพร้อมเซ็นเซอร์ในตัวที่เชื่อมต่อการทำงาน ช่วยให้สามารถตรวจสอบสถานะของอุปกรณ์ได้แบบเรียลไทม์ และวางแผนการบำรุงรักษาเชิงรุกได้อย่างแม่นยำ เมื่อใช้ร่วมกับบริการ EcoCare ผู้ใช้งานจะได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง พร้อมการแจ้งเตือนและคำแนะนำ เพื่อให้มั่นใจถึงประสิทธิภาพสูงสุด ความล้ำหน้าเหล่านี้ช่วยให้สามารถตรวจจับและแก้ไขสถานการณ์ผิดปกติ เช่น การเชื่อมต่อที่ไม่สมบูรณ์ ความเสียหายของฉนวน หรือหน้าสัมผัสของเบรกเกอร์วงจรที่สึกหรอ ซึ่งช่วย ลดการหยุดทำงานโดยไม่คาดคิด และประหยัดค่าบำรุงรักษาได้มากถึง 40%
  • เบรกเกอร์ EvoPacT: ประสิทธิภาพไร้ขีดจำกัด: MCSeT รุ่นใหม่ มาพร้อมกับเบรกเกอร์ EvoPacT ที่มอบความสามารถเหนือกว่ารุ่นปัจจุบัน และรองรับการสับเปลี่ยนวงจรได้มากถึง 5 เท่า เพิ่มความทนทานและเสถียรภาพในการใช้งาน
  • ลดความเสี่ยง (Reducing Risks) เพื่อความปลอดภัยสูงสุด: MCSeT รุ่นใหม่ เพิ่มความปลอดภัยในการทำงานอย่างก้าวกระโดด นอกจากการเรียกดูข้อมูลจากเซ็นเซอร์ตรวจสอบสภาพแบบไร้สายแล้ว การเปิด-ปิดเบรกเกอร์ (CB Open & Close) การเลื่อนเข้า-ออก (Racking) และสวิตช์สายดิน (Earthing Switches) ทั้งหมดนี้สามารถสั่งงานแบบดิจิทัลได้จากหน้าจอ HMI (Human Machine Interface) หรือแอปพลิเคชันบนมือถือ ช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถทำงานจากระยะใกล้ได้อย่างปลอดภัย โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในโซนอันตรายในกรณีที่เกิดอาร์คแฟลช หรือไฟฟ้าลัดวงจรอย่างรุนแรง

ก้าวสำคัญสู่ความยั่งยืนและการลดคาร์บอน

เมลตัน ชาง รองประธานบริหาร กลุ่มธุรกิจ Power Systems ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าวว่า “การเปิดตัว MCSeT พร้อม EvoPacT ถือเป็นก้าวสำคัญของความมุ่งมั่นที่เรามีต่อนวัตกรรมและความยั่งยืน เราภูมิใจที่ได้นำเสนอโซลูชันที่นอกจากจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและยืดอายุการใช้งานผลิตภัณฑ์แล้ว ยังช่วยให้ลูกค้าของเราลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยการลดการใช้วัสดุและความจำเป็นในการบำรุงรักษาอีกด้วย”

ญาดา รุ่งเรืองวิเศษ รองประธาน กลุ่มธุรกิจ Power Systems ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลประเทศไทย ลาว และเมียนมา เสริมว่า “การเปิดตัว MCSeT รุ่นใหม่ที่มาพร้อม EvoPacT สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในการสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานไฟฟ้า ด้วยการใช้โซลูชันเข้ามาผสานการทำงาน เพื่อยกระดับประสิทธิภาพพลังงาน ยืดอายุการใช้งาน ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมในด้านต้นทุน และเป็นส่วนสำคัญในการร่วมสร้างความยั่งยืนในระบบนิเวศของไทย เพื่อเป้าหมายหลักการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์”

MCSeT รุ่นใหม่ ที่มาพร้อม EvoPacT เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์หลักของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในการผลักดันโซลูชันที่ยั่งยืนและสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ด้วยการออกแบบที่ได้รับการปรับให้เหมาะสม ซึ่งใช้วัตถุดิบน้อยลง 20% นอกจากนี้ MCSeT รุ่นใหม่ ยังใช้เบรกเกอร์วงจรประสิทธิภาพสูง ช่วยขจัดความจำเป็นในการใช้ก๊าซซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ (SF6) ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีศักยภาพสูง และที่สำคัญคือเบรกเกอร์วงจร EvoPacT HVX มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่ารุ่นก่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งช่วยลดความจำเป็นด้านการบำรุงรักษาที่มีค่าใช้จ่ายสูง ทั้งการเปลี่ยนอุปกรณ์ และการหยุดทำงานของระบบ

นวัตกรรมเหล่านี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยในปี 2567 ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้รับการยอมรับจากนิตยสาร TIME และ Statista ให้เป็น “บริษัทที่ยั่งยืนที่สุดในโลก” (World’s Most Sustainable Company) ซึ่งตอกย้ำถึงเป้าหมายอันยิ่งใหญ่และท้าทายของบริษัทในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

MCSeT รุ่นใหม่ มาพร้อม EvoPacT มีขนาดแรงดันไฟฟ้าให้เลือกใช้ตั้งแต่ 12 กิโลโวลต์ (kV), 17.5 กิโลโวลต์ (kV) และ 24 กิโลโวลต์ (kV) ให้ประสิทธิภาพพลังงานสูงสุดด้วยคุณสมบัติของเซ็นเซอร์และฟังก์ชันการเชื่อมต่อที่ผสานรวมอยู่ในตัวอุปกรณ์ครบครัน

การเปิดตัว MCSeT ครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นก้าวสำคัญของชไนเดอร์ อิเล็คทริค แต่ยังเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับภาคอุตสาหกรรมไทย ในการก้าวสู่ยุคแห่งการจัดการพลังงานที่ชาญฉลาด ปลอดภัย และยั่งยืน เพื่ออนาคตพลังงานที่สดใสของประเทศ.

5G-Advanced และ AI ผนึกกำลัง เปิดประตูสู่ยุคแห่งการเชื่อมต่ออัจฉริยะ โอกาสใหม่ไร้ขีดจำกัด