กระทรวงดีอีตั้ง “ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมแห่งชาติ” ยกระดับสกัดกั้นเฟคนิวส์ ขอความร่วมมือแพลตฟอร์มโซเชียลร่วมมือปิดกั้น

กระทรวงดีอีตั้ง "ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมแห่งชาติ" ยกระดับสกัดกั้นเฟคนิวส์ ขอความร่วมมือแพลตฟอร์มโซเชียลร่วมมือปิดกั้น
Share

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า รัฐบาลได้แต่งตั้ง “คณะกรรมการตรวจสอบและวิเคราะห์ข่าวในสื่อสังคมออนไลน์เพื่อป้องกันข่าวปลอม” หรือ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมแห่งชาติ ขึ้น เพื่อยกระดับการแก้ไขปัญหาข่าวปลอมที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีนายประเสริฐเป็นประธาน และศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี เป็นรองประธาน

ศูนย์ฯ แห่งนี้จะบูรณาการการทำงานร่วมกับหลายหน่วยงานสำคัญ ทั้งด้านความมั่นคงและการประชาสัมพันธ์ เช่น สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.), กรมประชาสัมพันธ์, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.), กระทรวงต่างประเทศ และกระทรวงมหาดไทย โดยมีหน้าที่หลักคือการป้องกันและปราบปรามข่าวปลอมที่มีเนื้อหาบิดเบือน ปลุกระดม ยั่วยุ และสร้างความรุนแรง ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

นอกจากนี้ กระทรวงดีอี ยังได้สนับสนุนเจ้าหน้าที่จากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย (Anti Fake News Center: AFNC) ให้ปฏิบัติงานเฝ้าระวังและตรวจสอบข่าวปลอมตลอด 24 ชั่วโมง

เผยสถิติข่าวปลอมน่าตกใจ

จากข้อมูลสถิติของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 ถึง 31 กรกฎาคม 2568 พบว่ามีข้อความที่เข้าข่ายการตรวจสอบสูงถึง 2,279,897 ข้อความ และได้ตรวจสอบไปแล้วทั้งหมด 21,622 เรื่อง ซึ่งแบ่งเป็น:

  • ข่าวปลอม: 7,714 เรื่อง
  • ข่าวจริง: 8,577 เรื่อง
  • ข่าวบิดเบือน: 2,456 เรื่อง
  • ข้อมูลไม่เพียงพอ: 2,875 เรื่อง

โดยหมวดหมู่ข่าวสารที่มีผลกระทบต่อประชาชนมากที่สุด ได้แก่ นโยบายรัฐบาลและความมั่นคง (20,052 เรื่อง) และ สุขภาพ (14,713 เรื่อง)

ขอความร่วมมือแพลตฟอร์มและเตือนประชาชน

นายประเสริฐกล่าวว่า นอกจากการปิดกั้นข่าวปลอมแล้ว ศูนย์ฯ แห่งใหม่นี้ยังจะทำงานเชิงรุกในการ ชี้แจงข้อเท็จจริง เพื่อให้ประชาชนเข้าใจได้มากขึ้น โดยจะมีการหารือกับแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อขอความร่วมมือในการปิดกั้นข่าวปลอม โดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ

พร้อมกันนี้ ได้เน้นย้ำถึงบทลงโทษทางกฎหมายสำหรับผู้ที่เผยแพร่ข่าวปลอมหรือข้อมูลบิดเบือน โดยเตือนว่าการระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และไม่สามารถยอมความได้