บทบาทเชิงกลยุทธ์และพลวัตทางการค้าของประเทศไทยในการขับเคลื่อนและส่งเสริมโอกาสการค้าข้ามพรมแดนอย่างไร้ขีดจำกัด
โดยนายศศธร ภาสภิญโญ
ประเทศไทยกำลังก้าวขึ้นสู่การเป็นศูนย์กลางการค้าแห่งภูมิภาคอย่างแข็งแกร่ง จากข้อมูลในปี 2567 มูลค่าการส่งออกของไทยพุ่งสูงถึง 3 แสนล้านดอลลาร์ (9.7 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้น 5.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตลาดเอเชีย เช่น จีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย อินเดีย และเวียดนาม นอกจากนี้ ไทยยังสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้ถึง 7.15 พันล้านดอลลาร์ (2.3 แสนล้านบาท) ควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ที่สำคัญ
ความท้าทายและโอกาสที่ซ่อนอยู่
แม้การเติบโตจะดี แต่ไทยยังต้องเผชิญกับความผันผวนของการค้าโลก ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และมาตรการภาษีใหม่จากประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน อย่างไรก็ตาม ทำเลที่ตั้งของไทยและความร่วมมือระดับภูมิภาคได้สร้างโอกาสใหม่ให้กับธุรกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
การรวมกลุ่มห่วงโซ่อุปทานระดับภูมิภาค ประตูสู่ตลาดใหม่
- กลยุทธ์ China Plus One: ความตึงเครียดทางการค้าทำให้บริษัทต่าง ๆ เริ่มกระจายฐานการผลิตออกจากจีน และอาเซียนกำลังเติบโตเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญ การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นโอกาสให้ผู้ผลิตในไทยได้เป็นพันธมิตรใหม่ ๆ
- ข้อตกลงการค้า RCEP: ข้อตกลงนี้ครอบคลุมถึง 32% ของ GDP โลก และมีเป้าหมายลดภาษีนำเข้ากว่า 92% ภายใน 20 ปี ทำให้ห่วงโซ่อุปทานมีต้นทุนต่ำลงและเข้าถึงง่ายขึ้นกว่าที่เคย
- การค้าภายในภูมิภาคเอเชียเติบโต: ตลาดภายในเอเชียมีสัดส่วนสูงถึง 53% ของการส่งออกสินค้าทั้งหมดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และที่สำคัญ อาเซียนได้กลายเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของจีน แทนที่สหภาพยุโรปแล้ว
- โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล: การพัฒนาระบบชำระเงินและแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซช่วยให้ SMEs ไทยสามารถเข้าถึงลูกค้าในต่างประเทศได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น
- การขยายตัวของชนชั้นกลางในเอเชีย: การเพิ่มขึ้นของรายได้ทำให้เกิดความต้องการสินค้าและบริการระดับพรีเมียมมากขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสทองสำหรับธุรกิจไทยที่ต้องการขยายตัวในภูมิภาค
ข้อได้เปรียบในการแข่งขันของประเทศไทย
- บทบาทจุดเชื่อมต่อเชิงยุทธศาสตร์: ไทยมีความโดดเด่นในการขนส่งสินค้าที่ต้องการความรวดเร็ว เช่น อิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งช่วยสร้างความแตกต่างและข้อได้เปรียบในการแข่งขัน
- การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน: เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กำลังเปลี่ยนไทยให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมไฮเทค นอกจากนี้ การขยายสนามบินอู่ตะเภาและสุวรรณภูมิ รวมถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมต่อไทย-จีน-ลาว ก็จะช่วยเสริมศักยภาพด้านโลจิสติกส์ให้แข็งแกร่งขึ้น
ความท้าทายในการขยายตัวข้ามพรมแดนและโซลูชันที่เหมาะสม
- ความซับซ้อนของข้อตกลงการค้า: แม้ข้อตกลงอย่าง ACFTA และ RCEP จะให้ประโยชน์ แต่การทำความเข้าใจกฎระเบียบท้องถิ่น กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า และขั้นตอนเอกสารที่ซับซ้อนยังคงเป็นเรื่องท้าทายสำหรับ SMEs
- โซลูชันเพื่อการส่งออก: การใช้เครื่องมือทำเอกสารอัตโนมัติ และระบบแนะนำรหัสมาตรฐานสินค้า (HS Code) รวมถึงการสนับสนุนด้านคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้กระบวนการเหล่านี้ง่ายขึ้น
- ความแตกต่างทางวัฒนธรรม: SMEs ไทยจำเป็นต้องเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ เช่น เทศกาลวันคนโสด (11.11) ในจีน ซึ่งเครือข่ายโลจิสติกส์ที่รวดเร็วของ FedEx ที่ครอบคลุมกว่า 300 เที่ยวบินในเอเชียจะช่วยให้ธุรกิจสามารถตอบสนองโอกาสเหล่านี้ได้ทันท่วงที
- การบริหารจัดการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ: ความท้าทายในการจัดการขนส่งข้ามประเทศและพิธีการศุลกากรสามารถเป็นอุปสรรคใหญ่ได้สำหรับ SMEs ที่ขาดประสบการณ์
- เครือข่ายโลจิสติกส์ครบวงจร: FedEx มีเครือข่ายการขนส่งทั้งทางอากาศและภาคพื้นดินที่ครอบคลุมทั่วเอเชีย รวมถึงเครื่องมืออย่าง FedEx Ship Manager ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามการขนส่งแบบเรียลไทม์ และจัดการการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โอกาสสำหรับ SMEs ไทยในการสร้างตัวตนในตลาดระดับภูมิภาคได้เปิดกว้างแล้ว ซึ่งขับเคลื่อนโดยการบูรณาการทางการค้าและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การตัดสินใจที่แม่นยำและการร่วมมือกับพันธมิตรที่เหมาะสมจะช่วยให้ธุรกิจไทยสามารถก้าวขึ้นเป็นส่วนสำคัญของการเปลี่ยนแปลงในภูมิภาคเอเชียได้อย่างแน่นอน