ภาพรวมและมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลัง 2568

ภาพรวมและมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลัง 2568
Share

หลักทรัพย์บัวหลวงประเมินว่าตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 จะยังคงมีความผันผวนจากหลายปัจจัย ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มที่ SET Index จะค่อยๆ ฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 4 และอาจไปถึงเป้าหมายที่ 1,280 จุด ภายในสิ้นปีนี้

ปัจจัยที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นไทย

ปัจจัยกดดัน:

  • เศรษฐกิจโลกชะลอตัว: ส่งผลกระทบต่อการส่งออกและธุรกิจที่พึ่งพาเศรษฐกิจโลก
  • ความไม่แน่นอนทางการเมือง: ทำให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศไม่สามารถขับเคลื่อนได้อย่างเต็มที่
  • ปัญหาหนี้ครัวเรือน: ส่งผลให้อุปสงค์ภายในประเทศฟื้นตัวช้า
  • มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ: มีผลกระทบต่อบางกลุ่มอุตสาหกรรม

แนวโน้มเชิงบวก:

  • เศรษฐกิจไทยมีโอกาสฟื้นตัว: คาดว่าไตรมาส 3 จะเป็นจุดต่ำสุด และจะเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวในไตรมาส 4 หากสถานการณ์ทางการเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น
  • ค่า EPS (กำไรต่อหุ้น) ปรับลดลงน้อยลง: ฝ่ายวิจัยของหลักทรัพย์บัวหลวงได้ปรับลดประมาณการกำไรต่อหุ้นปี 2568 ลงจาก 92 บาท เหลือ 82 บาท แต่ในช่วงเดือนมิ.ย.-ก.ค. อัตราการปรับลดลดลง สะท้อนให้เห็นว่าสถานการณ์เริ่มดีขึ้น
  • ระดับดัชนีใกล้เคียงวิกฤตครั้งสำคัญ: ปัจจุบันดัชนีอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ใกล้เคียงกับช่วงวิกฤตในอดีต ซึ่งทำให้มองว่าโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวลดลงไปต่ำกว่านี้มีจำกัด (น้อยกว่า 1,050 – 1,080 จุด)

กลุ่มหุ้นที่น่าจับตามองและกลยุทธ์การลงทุน

กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ (Global Play):

  • หลักทรัพย์บัวหลวงแนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นในกลุ่ม “Global Play” ที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก และมีมูลค่าหุ้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ย
  • ตัวอย่างเช่น กลุ่มปิโตรเคมี, กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และ ผู้ผลิตอาหารสัตว์ (โดยเฉพาะ BTG, TFG, GFPT และ CPF) เนื่องจากได้รับประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบนำเข้าที่ลดลง
  • กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์อย่าง DELTA อาจได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ แต่ก็มีปัจจัยบวกจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Data Center, Cloud และ AI ซึ่งมีแนวโน้มเติบโต

กลุ่มหุ้นที่ได้รับผลกระทบ (Domestic Play):

  • กลุ่มที่ถูกกดดันจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ฟื้นตัวช้า เช่น อสังหาริมทรัพย์, ก่อสร้าง, ไฟแนนซ์เช่าซื้อ, สินเชื่อบุคคล และ สื่อมีเดีย
  • ขณะที่กลุ่มที่ได้รับผลกระทบปานกลางถึงน้อย ได้แก่ ธนาคาร, ร้านสะดวกซื้อ, โรงพยาบาล และ ท่องเที่ยว

การบริหารพอร์ตการลงทุน

  • ตราสารหนี้: เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ในระดับที่สูงกว่าปกติ (ประมาณ 56%) เพื่อรับประโยชน์จากแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและลดความผันผวนของพอร์ต
  • หุ้น: ให้น้ำหนักการลงทุนที่ 48% โดยกระจายการลงทุนไปในต่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ, ญี่ปุ่น, จีน, เวียดนาม, อินเดีย และไทย
  • ทองคำ: ให้น้ำหนักการลงทุนที่ 6%

สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในต่างประเทศ สามารถพิจารณาการลงทุนผ่าน DR (ตราสารแสดงสิทธิการฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศ) ซึ่งเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจและสะดวก