เจาะวิสัยทัศน์ NEC Thailand 2030: 3 จิ๊กซอว์ขับเคลื่อนไทยสู่ฮับการเงินอาเซียน

เจาะวิสัยทัศน์ NEC Thailand 2030: 3 จิ๊กซอว์ขับเคลื่อนไทยสู่ฮับการเงินอาเซียน
Share

ประเทศไทยกำลังก้าวขึ้นสู่การเป็นศูนย์กลางทางการเงินของอาเซียนภายในปี 2573 โดยมี 3 องค์ประกอบหลักเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อน ได้แก่ เทคโนโลยี, วิธีคิด และบุคลากร

มร. อิชิโร คูริฮาระ ประธานบริษัท เอ็นอีซี คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (NEC) เปิดเผยถึงวิสัยทัศน์ของบริษัทที่สอดคล้องกับศักยภาพของประเทศไทยในการก้าวสู่การเป็น “ฮับด้านการเงินของอาเซียน” ในปี 2573 ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ศูนย์กลางการเคลื่อนย้ายเงินทุนเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และเชื่อมโยงผู้คนกว่า 650 ล้านคนทั่วทั้งภูมิภาค โดยเขาระบุว่าประเทศไทยมีความพร้อมอย่างมากใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ เทคโนโลยี (Technology), วิธีคิด (Mindset) และบุคลากร (People) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศสู่เป้าหมายนี้

 

เปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานสู่โอกาสทางธุรกิจ

มร. อิชิโร กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงด้านการเงินของไทยไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นผลจากการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานมายาวนานกว่า 10 ปี ทั้งในด้านถนน, ระบบราง, และการค้า ซึ่งกลายเป็นรากฐานที่แข็งแกร่ง และวันนี้ ประเทศไทยกำลังยกระดับจากการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จับต้องได้ (Hardware) ไปสู่การสร้างวิธีการคิดใหม่ๆ (Heartware) เพื่อต่อยอดการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างที่มีอยู่ให้เกิดเป็นนวัตกรรมทางการเงินและโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลก

มร. สุเรช นีลาคันตัน หัวหน้าฝ่ายโซลูชันทางการเงินของ NEC ประเทศไทย เสริมว่า การพัฒนาทักษะใหม่ๆ ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่ “จำเป็น” อย่างยิ่งสำหรับอนาคตทางการเงินที่ใหญ่ขึ้นและซับซ้อนขึ้น ซึ่งภาครัฐได้มีการส่งเสริมโครงการต่างๆ เพื่อพัฒนาทักษะให้กับบุคลากร โดยเฉพาะการบูรณาการความรู้ด้าน AI, Data Literacy และ Digital Trust เข้าสู่ระบบการศึกษา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับคนรุ่นใหม่

 

พลังแห่งวัฒนธรรมกับการขับเคลื่อนจากฐานราก

มร. อิชิโร ชี้ให้เห็นว่า แม้ประเทศไทยจะมีความพร้อมด้านเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐาน แต่ปัจจัยสำคัญที่มองเห็นได้ไม่ชัดคือ การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มนักวิชาการ, ผู้ประกอบการ และผู้นำรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศในเวทีโลก โดยการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มาจากระดับบนลงล่าง (top-down) แต่กำลังเกิดขึ้นแล้วในทุกระดับ ตั้งแต่ห้องประชุม, ห้องเรียน, และชุมชน แสดงให้เห็นว่าคนไทยรุ่นใหม่ไม่ได้รอการเปลี่ยนแปลง แต่กำลังสร้างมันขึ้นมาเอง

นอกจากนี้ เขายังเน้นย้ำว่า แนวทางของไทยไม่ใช่การคัดลอกโมเดลจากต่างประเทศ แต่เป็นการปรับให้เหมาะสมกับบริบทในประเทศด้วยวิสัยทัศน์ระยะยาว ซึ่งการร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนจึงมีบทบาทสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น NEC ที่ได้ร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เช่น DEPA และมหาวิทยาลัย เพื่อสร้างบุคลากรด้านฟินเทคและ AI วางรากฐานที่ประเทศต้องการ

 

ฟินเทค: ขุมพลังเศรษฐกิจใหม่

หนึ่งในจุดแข็งสำคัญของไทยคือ ระบบนิเวศฟินเทค ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ระบบประเมินคุณภาพสินเชื่อด้วย AI ไปจนถึงบัตรประชาชนดิจิทัล ซึ่งฟินเทคจะช่วยให้ประชาชนหลายล้านคน รวมถึงเกษตรกรและ SME เข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะช่วยยกระดับกระบวนการของธนาคารจากที่เคยใช้เวลาหลายเดือนให้เหลือเพียงไม่กี่นาที

มร. สุเรช สรุปว่า วิสัยทัศน์ปี 2573 ของไทยไม่ใช่การเป็นสิงคโปร์หรือฮ่องกงแห่งใหม่ แต่คือการเป็น “ประเทศไทยแห่งอนาคต” ที่ยังคงรักษาจิตวิญญาณทางวัฒนธรรม พร้อมกับยกระดับมาตรฐานสู่สากล นั่นหมายถึงการที่เกษตรกรในขอนแก่นสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายพอๆ กับนักลงทุนในกรุงเทพฯ และการที่เยาวชนไทยพร้อมที่จะเป็นผู้นำในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยที่ “ประเพณีเดินเคียงคู่กับการเปลี่ยนแปลง” ซึ่งนี่คือจุดแข็งที่แท้จริงของประเทศไทย

กองทัพเรือและบริษัทน้ำมันซ้อมแผนขจัดคราบน้ำมันครั้งใหญ่ นอกชายฝั่งอ่าวไทย