บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ย้ำจุดยืนในการเป็นองค์กรที่ส่งมอบ “อาหารที่ดี ชีวิตที่ดี” (Good food, Good life) ด้วยการจัดกิจกรรมเพื่อสังคม “Walk More, Give More” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างงดงามในการระดมก้าวเดินกว่า 990 ล้านก้าวจากพนักงานและพันธมิตร เพื่อเปลี่ยนเป็นวีลแชร์คุณภาพจำนวน 99 คัน มอบให้กับผู้ด้อยโอกาส สร้างก้าวที่มั่นคงและยั่งยืนในชีวิต
กิจกรรมนี้ไม่เพียงมุ่งส่งเสริมสุขภาพที่ดีของพนักงาน แต่ยังเป็นตัวเชื่อมโยงให้เกิดการทำความดีร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม โดยปีนี้ได้ขยายขอบเขตความร่วมมือไปยังหน่วยงานภาครัฐที่ทำงานใกล้ชิดกับประชาชน ได้แก่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และ สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ทำให้พลังการส่งต่อความช่วยเหลือแข็งแกร่งยิ่งขึ้น และช่วยให้การบริจาคเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง
นายวิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า กล่าวว่า “เนสท์เล่เชื่อมั่นในบทบาทของอาหารที่ดีที่สามารถสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ทุกคน เราจึงริเริ่มโครงการ ‘Walk More, Give More’ ขึ้นมาเพื่อส่งเสริมการมีสุขภาพที่แข็งแรงของพนักงาน ควบคู่ไปกับการมอบโอกาสดีๆ ให้กับสังคม ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ในการสร้างคุณค่าร่วมกับสังคมของเราอย่างตรงไปตรงมา” นายวิคเตอร์ยังกล่าวเสริมว่ากิจกรรมนี้เป็นหนึ่งในโครงการเพื่อสังคมที่เนสท์เล่ทำมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคผลิตภัณฑ์ในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือการร่วมมือกับองค์กรภายนอกเพื่อช่วยเหลือชุมชนทั่วประเทศ
ด้าน นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้กล่าวขอบคุณเนสท์เล่ที่เปิดโอกาสให้บุคลากรในสังกัดกว่า 1,600 คนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่มีความหมายนี้ “ทุกก้าวเดินของพวกเรามีความหมายมากขึ้นจากกิจกรรมนี้ เพราะมันไม่ใช่แค่การออกกำลังกาย แต่เป็นการใช้แรงกายแรงใจเพื่อสร้างโอกาสที่ดีให้แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคมผ่านการมอบวีลแชร์ ซึ่งจะช่วยให้พวกเขามีก้าวต่อไปที่มั่นคงขึ้น”
ในขณะที่ ดร. แพทย์หญิงสุธี สฤษฎิ์ศิริ ผู้อำนวยการกองสร้างเสริมสุขภาพ สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กิจกรรมของเนสท์เล่สอดคล้องกับพันธกิจของสำนักอนามัยในด้านการสร้างเสริมสุขภาพและฟื้นฟูสมรรถภาพของประชาชนอย่างยิ่ง “การมอบวีลแชร์ในครั้งนี้เป็นการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางอย่างเป็นรูปธรรม เพราะเป็นการอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวันของผู้พิการหรือผู้สูงอายุที่มีข้อจำกัดด้านการเคลื่อนไหว ทำให้พวกเขาสามารถดูแลตัวเองได้ดีขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง”
ความสำเร็จของกิจกรรม “Walk More, Give More” ในปีนี้จึงเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าการทำความดีนั้นสามารถเริ่มต้นได้จากสิ่งเล็กๆ ใกล้ตัว และเมื่อทุกคนร่วมมือกัน พลังนั้นก็จะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ให้กับสังคมได้อย่างยั่งยืน