พลัง Big Data พลิกเกมสู้ฝุ่น PM 2.5 “Envi Link” ต้นแบบจากเชียงใหม่ สู่การขยายผล 8 จังหวัดภาคเหนือ

พลัง Big Data พลิกเกมสู้ฝุ่น PM 2.5 “Envi Link” ต้นแบบจากเชียงใหม่ สู่การขยายผล 8 จังหวัดภาคเหนือ
Share

ปัญหา PM 2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ เป็นภัยคุกคามด้านสิ่งแวดล้อมที่เรื้อรังและท้าทาย อย่างไรก็ตาม ความท้าทายนี้กำลังถูกเปลี่ยนเป็นโอกาสสำคัญด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Big Data ผ่านโครงการ “Envi Link” ที่พัฒนาโดย สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI)

“Envi Link” ไม่ได้เป็นเพียงแพลตฟอร์มข้อมูลทั่วไป แต่ถูกออกแบบมาให้เป็น แพลตฟอร์มข้อมูลสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่ใช้พลังของ Big Data ในการเชื่อมโยง วิเคราะห์ และเปลี่ยนข้อมูลดิบให้เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการตัดสินใจเชิงรุก (Data-Driven Decision) เพื่อบริหารจัดการปัญหา PM 2.5 ให้ลดลงได้อย่างเป็นรูปธรรม

 

Envi Link ศูนย์กลางข้อมูลบูรณาการเพื่อการบริหารจัดการ

หัวใจสำคัญของความสำเร็จในเชียงใหม่คือการสร้าง ระบบนิเวศข้อมูล ที่ครบวงจร โดย Envi Link ได้รวบรวมชุดข้อมูลที่เกี่ยวข้องกว่า 200 ชุดข้อมูล จากพันธมิตรภาครัฐและเอกชนกว่า 30 องค์กร ซึ่งรวมถึง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) และ GISTDA (สทอภ.)

Envi Link บูรณาการข้อมูลสำคัญที่ใช้ในการบริหารจัดการ PM 2.5 ดังนี้:

  1. ข้อมูลคุณภาพอากาศ (Air Quality Data): รวบรวมค่าฝุ่น PM 2.5 และ PM 10 ทั้งแบบเรียลไทม์และย้อนหลังจากเซ็นเซอร์ตรวจวัดหลายระบบ เช่น RGUARD, DustBoy, Air4Thai, DPM Alert และ Check Dust
  1. ข้อมูลการเผาไหม้ (Burning Data) และภูมิสารสนเทศ: ติดตาม พิกัดจุดความร้อน (Hotspot) และข้อมูลพื้นที่เผาไหม้จริงจากภาพถ่ายดาวเทียม

ใช้ข้อมูลภูมิสารสนเทศเพื่อติดตามพื้นที่เผาไหม้ตามชนิดพืชเศรษฐกิจ และ แนะนำพื้นที่ที่มีศักยภาพในการปรับเปลี่ยนพืชเศรษฐกิจ เพื่อลดการเผาและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ

  1. ข้อมูลเชิงนโยบาย/การจัดการ: เชื่อมโยงกับ ข้อมูลการขออนุญาตใช้ไฟในระบบ Fire-D เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับพื้นที่เผาไหม้จริง ใช้ในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์และกำหนดมาตรการควบคุมการเผาได้อย่างตรงจุด
  1. ข้อมูลผลกระทบ (Impact Data): ติดตาม สถานการณ์ผู้ป่วยจากมลพิษทางอากาศ (โรคที่เกี่ยวข้อง) จากหน่วยงานสาธารณสุข เพื่อประเมินผลกระทบต่อสุขภาพและวางแผนการป้องกันเยียวยา

พลัง Big Data พลิกเกมสู้ฝุ่น PM 2.5 “Envi Link” ต้นแบบจากเชียงใหม่ สู่การขยายผล 8 จังหวัดภาคเหนือ

ความสำเร็จที่พิสูจน์ได้ “จุดเปลี่ยนสำคัญของการบริหารจัดการ”

แม้ว่าเอกสารนี้จะไม่ได้ระบุตัวเลขปริมาณการลดลงของฝุ่น PM 2.5 อย่างเป็นทางการ (เช่น ค่าเฉลี่ยลดลงจาก X เหลือ Y) แต่ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้ยืนยันว่า การมีระบบข้อมูลที่เชื่อมโยงอย่าง Envi Link ได้เข้ามาช่วยสนับสนุนและเป็น “จุดเปลี่ยนสำคัญของการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม” ในพื้นที่

การตัดสินใจจากข้อมูล (Data-Driven Decision) ผ่าน Envi Link ส่งผลให้การจัดการปัญหาในเชียงใหม่ยกระดับขึ้น:

การประเมินสถานการณ์ที่แม่นยำ จังหวัดสามารถเข้าถึง ข้อมูลเชิงลึกและแม่นยำ ผ่าน แดชบอร์ดข้อมูลวิเคราะห์กว่า 15 รูปแบบ รวมถึงแดชบอร์ดตัวชี้วัดการจัดการปัญหาฝุ่นรายจังหวัด

การวางแผนและมาตรการเชิงรุก ข้อมูลที่เชื่อมโยงช่วยให้ภาครัฐสามารถวางแผนและออกมาตรการได้อย่าง ทันท่วงทีและตรงจุด โดยเฉพาะการวิเคราะห์สาเหตุการเผาไหม้ผ่านการเปรียบเทียบข้อมูล Fire-D กับพื้นที่เผาไหม้จริง

การติดตามและประเมินผล แดชบอร์ดตัวชี้วัดได้แสดงผลข้อมูลสำคัญ เช่น จำนวน จุดความร้อน (Hotspots), พื้นที่เผาไหม้, จำนวนวันค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน, และ สถานการณ์ผู้ป่วย ซึ่งทำให้สามารถติดตามผลการดำเนินมาตรการของภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบ

ความร่วมมือนี้ได้สร้างต้นแบบของ “เมืองอากาศสะอาด” ที่ทุกภาคส่วนสามารถใช้ข้อมูลเดียวกันในการติดตามและร่วมกันวางแผนป้องกันปัญหาได้อย่างมีส่วนร่วม ซึ่งสะท้อนถึงการ ลดลงของปัญหาผ่านการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและเป็นระบบ

 

แผนการขยายผลและอนาคตของ Envi Link

จากความสำเร็จในจังหวัดเชียงใหม่ BDI มีแผนที่จะขยายออกไป 2 ส่วน

  1. ขยายขอบเขตพื้นที่: จากความสำเร็จในเชียงใหม่ (และกรุงเทพฯ) Envi Link มีแผนที่จะ ขยายผลการใช้งานไปยัง 8 จังหวัดภาคเหนือรวมถึงจังหวัดตาก ภายในปี 2569 เพื่อสร้างระบบข้อมูลสิ่งแวดล้อมที่เชื่อมโยงในระดับภูมิภาค การขยายผลนี้เป็นก้าวสำคัญของการขับเคลื่อน “Smart Environment” ภายใต้นโยบายเมืองอัจฉริยะ (Smart City) โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการใช้ข้อมูลเป็นเครื่องมือสำคัญในการออกแบบนโยบาย การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และการสร้าง คุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนอย่างยั่งยืน ในทุกมิติ
  2. ขยายขอบเขตข้อมูลเพื่อ Action Response: แม้ข้อมูลในการมอนิเตอร์จะค่อนข้างครบถ้วนแล้ว แต่ในภาค Action Response ยังมีช่องว่าง (gap) ที่ต้องเติมเต็ม
    • การเชื่อมโยงข้อมูลคนเปราะบาง: เพื่อให้สามารถ พล็อตคนเปราะบาง ตำแหน่งที่ตั้งของผู้ป่วยติดเตียง เข้ามาในระบบได้อย่างครบถ้วนเพื่อช่วยเหลือในยามวิกฤต
    • เชื่อมโยงกับเซกเตอร์อื่น: ในอนาคตจะเชื่อมโยงกับระบบกลาง D2 (Data Platform for Digital Transformation) ซึ่งจะขยายไปสู่ข้อมูลด้านอื่น เช่น สายท่องเที่ยว สายสุขภาพ และสายน้ำ (สถานการณ์น้ำ/ฝน) ซึ่งจะทำให้การบริหารจัดการสำหรับเมืองง่ายขึ้นและครอบคลุม ภัยธรรมชาติ อื่นๆ ด้วย เช่น ปัญหาดินสไลด์

การบูรณาการข้อมูลเหล่านี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้การแก้ไขปัญหา PM 2.5 จาก “การอยากรู้ว่าฝุ่นเท่าไหร่” ไปสู่ “การรู้ว่าจะ ลดมันได้ยังไงและต้องช่วยใคร ในช่วงเวลาไหน” ซึ่งทั้งหมดนี้คือหัวใจสำคัญของ Data-Driven Management ที่ยกระดับเชียงใหม่สู่การเป็นต้นแบบของ “เมืองอากาศสะอาด” อย่างยั่งยืน

“Envi Link” ของ BDI พลิกโฉมเชียงใหม่ สู่ต้นแบบ “เมืองอากาศสะอาด” ขับเคลื่อนด้วย Big Data