บริษัทวิจัยการ์ทเนอร์เปิดเผยรายงานคาดการณ์แนวโน้มตลาดยานยนต์ไฟฟ้า (EVs) ระบุว่า ภายในสิ้นปี 2568 จะมียานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท ทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถบัส รถตู้ และรถบรรทุกขนาดใหญ่ จำนวน 85 ล้านคันวิ่งบนท้องถนนทั่วโลก นับเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากปี 2567 ที่คาดว่าจะมีอยู่ที่ 64 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 33% ในปีเดียว
โจนาธาน ดาเวนพอร์ท ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ เปิดเผยว่า แม้ตลาดยานยนต์ไฟฟ้าจะเผชิญความท้าทายหลายด้านในช่วงปีที่ผ่านมา ทั้งในแง่การผลิตและการจัดจำหน่าย เนื่องจากการคาดการณ์ที่มองโลกในแง่ดีเกินไปในเรื่องการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าของหลายบริษัท ทำให้ต้องเลื่อนการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ ๆ ออกไป แต่ในภาพรวมตลาดยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะยอดขายในจีนและยุโรปที่มีบทบาทสำคัญ
จีนและยุโรปคือตลาดหลักที่ผลักดันการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าในปี 2568 โดยจีนจะครองส่วนแบ่งตลาดถึง 58% ของรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก ขณะที่ยุโรปครอง 24% รวมกันทั้งสองตลาดคิดเป็น 82% ของจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก โดยการ์ทเนอร์ระบุว่า จีนจะมีรถยนต์ไฟฟ้ากว่า 49 ล้านคันวิ่งอยู่ตามท้องถนนในปีหน้า ขณะที่ยุโรปจะมีประมาณ 20.6 ล้านคัน และอเมริกาเหนือ 10.4 ล้านคัน
ตารางที่ 1 ปริมาณรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกจำแนกตามประเภทรถ ระหว่างปี 2566-2568 (หน่วย: ตามจริง)
2023 Installed Base | 2024 Installed Base | 2025 Installed Base | |||||
BEV | 32,628,884 | 45,872,824 | 61,860,183 | ||||
PHEV | 13,402,907 | 18,159,560 | 23,283,006 | ||||
Total | 46,031,791 | 64,032,383 | 85,143,189 |
ที่มา: การ์ทเนอร์ (ตุลาคม 2567)
สำหรับประเทศไทย การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าในปี 2568 จะมีรถยนต์ไฟฟ้าจำนวนกว่า 77,800 คัน เพิ่มขึ้น 49% จากปี 2567 โดยในจำนวนนี้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEVs) กว่า 57,900 คัน คิดเป็นสัดส่วน 74% ของรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดในประเทศ ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEVs) คาดว่าจะมีอยู่ประมาณ 19,880 คัน เพิ่มขึ้น 28% จากปีก่อนหน้า
ตารางที่ 2 ปริมาณรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยจำแนกตามประเภทรถ ระหว่างปี 2566-2568 (หน่วย: ตามจริง)
2023 Installed Base | 2024 Installed Base | 2025 Installed Base | |||||
BEV | 24,720 | 38,135 | 57,926 | ||||
PHEV | 9,392 | 13,943 | 19,880 | ||||
Total | 34,112 | 52,078 | 77,805 |
ที่มา: การ์ทเนอร์ (ตุลาคม 2567)
ในด้านประเภทของยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก การ์ทเนอร์คาดว่าภายในสิ้นปี 2568 จะมีรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEVs) จำนวนเกือบ 62 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 35% จากปี 2567 ขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEVs) คาดว่าจะเติบโตในอัตราที่ช้ากว่าเล็กน้อย โดยจะมีจำนวน 23 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 28% จากปีก่อน
นอกจากนี้ การ์ทเนอร์ยังได้คาดการณ์ถึงอนาคตระยะยาวของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในช่วง 6 ปีข้างหน้า โดยระบุว่าภายในปี 2573 ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจะสามารถรีไซเคิลแบตเตอรี่ได้มากถึง 95% ของจำนวนแบตเตอรี่ที่หมดอายุการใช้งาน ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบที่จำเป็นต่อการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ดาเวนพอร์ทกล่าวว่า “การรีไซเคิลแบตเตอรี่จะไม่เพียงแต่ช่วยลดความจำเป็นในการขุดหาแร่ใหม่ แต่ยังช่วยให้สามารถลดต้นทุนการผลิตแบตเตอรี่ลงได้อย่างมาก”
เขากล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากแบตเตอรี่ที่ใช้งานแล้วมีความเข้มข้นของโลหะหายากสูงกว่าแร่ธรรมชาติ การนำกลับมาใช้ใหม่ในปริมาณมากจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ไม่เพียงแค่ลดต้นทุน แต่ยังมีผลดีในด้านสิ่งแวดล้อม โดยช่วยลดปัญหาการทิ้งแบตเตอรี่ในหลุมฝังกลบ หรือการกำจัดในรูปแบบที่ไม่ถูกต้อง
ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาค รวมถึงความพยายามในการปรับปรุงกระบวนการรีไซเคิล ทำให้ตลาดยานยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มสดใสในอนาคต