MAGURO ครึ่งปีแรกฟันรายได้ 618 ลบ. กำไร 33 ลบ. Q2/67 โตต่อเนื่อง เตรียมรุกเปิด 11 สาขาใหม่ มั่นใจรายได้โต 30%

Share

MAGURO Group บริษัทที่เป็นผู้นำในตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นและเกาหลีสไตล์พรีเมียม-แมส ยังคงเดินหน้าเติบโตแม้เศรษฐกิจจะอยู่ในภาวะฝืดเคือง โดยในครึ่งปีแรกของปี 2567 บริษัทสามารถกวาดรายได้รวมถึง 618 ล้านบาท พร้อมทำกำไรสุทธิได้ถึง 33 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความสามารถในการปรับตัวขององค์กรท่ามกลางสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน

ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก:
เมื่อพิจารณาในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 MAGURO มีรายได้รวม 321 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้น 8% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ ที่มีรายได้อยู่ที่ 297 ล้านบาท นอกจากนี้ยังเติบโตขึ้นถึง 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นมานี้เป็นผลมาจากการขยายสาขาใหม่ 2 สาขาในช่วงครึ่งปีแรก รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนและการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน

ในส่วนของกำไรสุทธิในครึ่งปีแรก บริษัทสามารถทำได้ 33 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสที่ 2/2567 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 13 ล้านบาท ลดลงจากกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 1/2567 ซึ่งอยู่ที่ 20 ล้านบาท การลดลงนี้เกิดจากค่าใช้จ่ายพิเศษในการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ซึ่งมีมูลค่ารวม 7 ล้านบาท รวมถึงต้นทุนวัตถุดิบแซลมอนที่เพิ่มสูงขึ้นจากปัจจัยด้านภูมิอากาศ ตลอดจนต้นทุนการขยายสาขาใหม่และการปรับปรุงสาขาเดิม

แผนการรุกตลาดครึ่งปีหลัง:
คุณเอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท MAGURO Group ได้เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะขยายสาขาร้านอาหารเพิ่มขึ้นอีก 11 สาขาภายในครึ่งปีหลัง โดยจะเน้นทำเลที่มีศักยภาพสูงและกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำให้สิ้นปีนี้ MAGURO จะมีเครือข่ายรวมทั้งหมด 38 สาขาภายใต้ 4 แบรนด์หลักของบริษัท ได้แก่

  1. MAGURO: ร้านอาหารญี่ปุ่นและซูชิสไตล์พรีเมียม จำนวน 16 สาขา
  2. SSAMTHING TOGETHER: ร้านปิ้งย่างสไตล์เกาหลีวัตถุดิบพรีเมียม จำนวน 6 สาขา
  3. HITORI SHABU: ร้านชาบูและสุกียากี้ หม้อเดี่ยวสไตล์คันไซ จำนวน 8 สาขา
  4. HITORI SUKIYAKI: ร้านสุกียากี้คันไซแบบดั้งเดิมในรูปแบบ Authentic Japanese Sukiyaki Course ที่เพิ่งเปิดสาขาแรกที่เอกมัย 12 เมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเตรียมเปิดตัวร้านอาหารแบรนด์ใหม่ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ โดยจะเน้นคอนเซ็ปท์ที่แปลกใหม่และเน้นทำเลที่มีศักยภาพสูง ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างฐานลูกค้าใหม่และขยายตลาดให้กับบริษัทต่อไป

กลยุทธ์การตลาดและการเติบโตของสมาชิก:
MAGURO Group ยังคงให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าผ่านระบบการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) ซึ่งในครึ่งปีแรกบริษัทมีสมาชิกอยู่ในระบบกว่า 160,000 ราย โดยคาดว่าในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ จำนวนสมาชิกจะเพิ่มขึ้นถึง 200,000 ราย กลยุทธ์การใช้ระบบ CRM ของบริษัทมุ่งเน้นการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าเพื่อสร้างประสบการณ์การทานอาหารที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง ด้วยการนำเสนอโปรโมชั่นและกิจกรรมส่งเสริมการขายที่เหมาะสมและโดนใจลูกค้า

การพัฒนาแบรนด์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Give More Culture”:
คุณเอกฤกษ์ยังได้กล่าวเสริมว่า การดำเนินงานของ MAGURO Group นั้นยึดถือคอนเซ็ปต์ “Give More Culture” หรือ “การให้มากกว่าที่ขอ” ซึ่งหมายถึงการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์เมนูอาหารที่หลากหลาย การให้บริการที่ดีเยี่ยม และการสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมในการรับประทานอาหาร โดยบริษัทเชื่อมั่นว่าความพยายามในการพัฒนาร้านอาหารและการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าจะนำไปสู่การเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนของบริษัท

ความคาดหวังในครึ่งปีหลัง:
บริษัทคาดว่าในครึ่งปีหลัง สถานการณ์ทางธุรกิจจะยังคงเป็นไปในทิศทางที่ดี โดยการขยายสาขาใหม่ การเปิดตัวแบรนด์ใหม่ และการไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายหุ้น IPO จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของรายได้และกำไรตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ คาดว่าต้นทุนวัตถุดิบแซลมอนในไตรมาสที่ 3 จะกลับสู่ภาวะปกติ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรของบริษัทได้อีกด้วย

ในท้ายที่สุด คุณเอกฤกษ์ได้ย้ำว่าบริษัทมั่นใจว่ารายได้รวมในปี 2567 จะเติบโตตามเป้าหมายที่ประมาณ 30% เมื่อเทียบกับปี 2566 ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ การขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง และการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าตามแบบฉบับของ MAGURO Group