บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ออกมายืนยันความมุ่งมั่นในการลงทุนผลิตผลิตภัณฑ์กาแฟภายใต้แบรนด์ “เนสกาแฟ” ในประเทศไทยต่อไปอย่างแน่นอน พร้อมชี้แจงถึงสถานการณ์ปัจจุบันภายหลังการสิ้นสุดสัญญากับ บริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักส์ จำกัด (QCP) เมื่อปลายปีที่ผ่านมา
เนสท์เล่ ในฐานะเจ้าของแบรนด์ “เนสกาแฟ” ซึ่งเป็นแบรนด์กาแฟอันดับหนึ่งในใจผู้บริโภคชาวไทยมายาวนาน ได้เน้นย้ำถึงความผูกพันที่มีต่อประเทศไทยตลอดกว่า 40 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟไทยด้วยการรับซื้อเมล็ดกาแฟดิบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดเมื่อต้นปี 2568 ก็ยังคงดำเนินการรับซื้อตามปกติ
บริษัทฯ ชี้แจงว่า ตั้งแต่ปี 2533 ถึง 2567 ได้มีการทำสัญญากับ QCP ให้เป็นผู้ผลิต “เนสกาแฟ” ในประเทศไทย โดยสูตรและเทคโนโลยีการผลิตทั้งหมดเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของเนสท์เล่ และทีมงานบริหารจัดการก็เป็นบุคลากรของเนสท์เล่เอง
ภายหลังการสิ้นสุดสัญญาดังกล่าว เนสท์เล่ได้ดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อให้ผู้บริโภคชาวไทยยังคงสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ “เนสกาแฟ” ได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีการว่าจ้างบริษัทในประเทศไทยให้ช่วยผลิตสินค้า ควบคู่ไปกับการนำเข้าผลิตภัณฑ์บางส่วนจากประเทศในแถบอาเซียนเป็นการชั่วคราว เพื่อแก้ไขปัญหาด้านกำลังการผลิตที่ไม่เพียงพอในขณะนั้น
ล่าสุด เนสท์เล่ ได้รับข่าวดีจากศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ในคดีหมายเลขดำที่ ทป 58/2568 ซึ่งมีคำสั่งให้ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เป็นผู้มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการใช้เครื่องหมายการค้า “Nescafé” ในประเทศไทย โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2568 ทำให้เนสท์เล่สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจ “เนสกาแฟ” ในประเทศได้ตามปกติ
“เนสท์เล่ขอยืนยันอย่างหนักแน่นว่าจะลงทุนเพื่อผลิตเนสกาแฟในประเทศไทยต่อไป และในขณะนี้เรากำลังอยู่ในขั้นตอนของการเตรียมการเพื่อกลับมาดำเนินการผลิตในประเทศอีกครั้ง” แถลงการณ์จากเนสท์เล่ระบุ “ในระหว่างที่เรากำลังเตรียมการนี้ เรายังคงมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนเกษตรกรไทยด้วยการรับซื้อวัตถุดิบในการผลิตจากเกษตรกรไทยให้มากที่สุด”
ก่อนหน้านี้ เนสท์เล่ได้รับคำตัดสินจากศาลอนุญาโตตุลาการสากลแล้วว่า บริษัทฯ ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาการร่วมทุนกับ QCP อย่างครบถ้วน และการสิ้นสุดสัญญาเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2567 นั้นถูกต้องตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ผู้ถือหุ้นของ QCP ได้ยื่นขอคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวจากศาลแพ่งมีนบุรี ก่อนที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ จะมีคำสั่งล่าสุด
เนสท์เล่ยืนยันว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการรายย่อย คู่ค้า ซัพพลายเออร์ ผู้บริโภค และเกษตรกร อันเนื่องมาจากการดำเนินการของผู้ถือหุ้นดังกล่าว
บริษัทฯ ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงปี 2561-2567 ได้มีการลงทุนในประเทศไทยไปแล้วกว่า 22,800 ล้านบาท และจะยังคงเดินหน้าลงทุนเพื่อสร้างประโยชน์แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนต่อไป