ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังคงเดินหน้าสร้างผลงานที่โดดเด่นอย่างต่อเนื่อง โดยประกาศผลกำไรสุทธิหลังหักภาษีในไตรมาส 2/2568 มูลค่า 2.0 พันล้านบาท ซึ่งนับเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกันที่บริษัทสามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้อย่างสวยงาม สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จจากการควบรวมกิจการและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ
นายซิกเว่ เบรกเก้ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจและเหตุการณ์โครงข่ายขัดข้องชั่วคราว บริษัทก็ยังคงเดินหน้าตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ การชนะการประมูลคลื่นความถี่ล่าสุดในเดือนมิถุนายนยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งของเครือข่าย เพื่อรองรับเทคโนโลยีแห่งอนาคตและบริการดิจิทัลใหม่ ๆ ตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของลูกค้าทั้งรายย่อยและองค์กร
เจาะลึกตัวเลขทางการเงินที่น่าสนใจ
แม้รายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) จะลดลง 0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนมาอยู่ที่ 41.1 พันล้านบาท แต่บริษัทก็ยังสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่องจากกลยุทธ์การบริหารต้นทุนที่เข้มแข็ง
- EBITDA อยู่ที่ 25.0 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
- อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการ ดีขึ้นอย่างน่าประทับใจ อยู่ที่ 60.8% เพิ่มขึ้นถึง 2.2 จุดเปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ
- กำไรสุทธิหลังหักภาษี (NPAT) อยู่ที่ 2.0 พันล้านบาท และเมื่อปรับปรุงรายการพิเศษ จะอยู่ที่ 4.2 พันล้านบาท
แผนการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืน
การปรับลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานยังคงเป็นหัวใจสำคัญ โดยเฉพาะต้นทุนโครงข่ายที่ลดลง 7.0% จากค่าไฟฟ้าที่ถูกลงและการปรับปรุงโครงข่ายให้ทันสมัย รวมถึงค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ที่ลดลงถึง 12.4% จากประโยชน์ที่ได้รับจากการควบรวมกิจการ
ในส่วนของลูกค้า การที่บริษัทเน้นสร้างฐานลูกค้าที่มีคุณภาพ ทำให้จำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ลดลง 5.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 47.5 ล้านเลขหมาย ขณะที่จำนวนผู้ใช้บริการ 5G ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีจำนวนสูงถึง 14.7 ล้านเลขหมาย
ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังคงมองไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจ โดยปรับเป้าหมายการดำเนินงานปี 2568 โดยคาดว่ารายได้จากการให้บริการจะทรงตัวหรือเติบโตเล็กน้อย 1% ขณะที่ EBITDA จะเติบโต 7-8% สำหรับทั้งปี พร้อมยืนยันที่จะทำกำไรได้ตลอดทั้งปีอย่างแน่นอน