ทรู คอร์ปอเรชั่น เร่งปฏิบัติการดูแลและตรวจสอบโครงข่ายสัญญาณมือถืออย่างใกล้ชิดในพื้นที่ภาคกลางที่ประสบอุทกภัยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในจังหวัดสิงห์บุรี หลังประสบเหตุการณ์วิกฤตพนังกั้นน้ำพังทลายเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทำให้มวลน้ำทะลักเข้าท่วมพื้นที่เพิ่มเติมอย่างรุนแรง
ทีมวิศวกรเครือข่ายของทรูฯ ได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์และดำเนินแผนรับมือภัยน้ำท่วมอย่างเต็มที่ เพื่อรักษาความต่อเนื่องของการให้บริการสื่อสารแก่ประชาชน
ตรวจสอบสถานีฐานในพื้นที่น้ำท่วมสูง
ทีมเน็ตเวิร์กของทรูฯ ได้นำเรือเข้าสำรวจสถานีฐานในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมสูง โดยเฉพาะบริเวณใกล้เคียงวัดดอกไม้ จังหวัดสิงห์บุรี ผลการตรวจสอบพบว่า อุปกรณ์สื่อสารหลักยังคงทำงานได้ตามปกติ ถึงแม้จะมีระดับน้ำท่วมสูงก็ตาม
เพื่อเพิ่มความมั่นใจในความปลอดภัยและประสิทธิภาพการทำงาน ทรูฯ ได้ยกระดับมาตรการด้านความปลอดภัยระบบไฟฟ้าอย่างเข้มงวด และได้ประสานงานกับการไฟฟ้าภูมิภาคเข้าดูแล เพื่อป้องกันผลกระทบจากไฟรั่วที่อาจเกิดขึ้น หากระดับน้ำยังคงเพิ่มสูงขึ้น
มาตรการฉุกเฉินรับมือสถานการณ์วิกฤต
ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้เตรียมการรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างรอบด้าน เพื่อให้การสื่อสารของประชาชนใช้งานได้อย่างไม่สะดุด ดังนี้:
-
พลังงานสำรอง: จัดเตรียมเครื่องปั่นไฟและน้ำมันสำรอง รวมถึงแบตเตอรี่สำรอง สำหรับกรณีที่ไฟฟ้าถูกตัดขาดจากเหตุน้ำท่วม
-
เสริมสัญญาณ: เตรียมพร้อมรถโมบายล์สถานีฐานเคลื่อนที่เร็ว (Cell on Wheels: COW) เพื่อเสริมสัญญาณในจุดวิกฤต
-
ทีมซ่อมบำรุงฉุกเฉิน: จัดทีมพร้อมยานพาหนะ 4WD และเรือท้องแบน เพื่อให้สามารถเข้าถึงพื้นที่ประสบภัยและดำเนินการซ่อมบำรุงได้อย่างรวดเร็ว
BNIC ติดตาม 24 ชั่วโมง ด้วยระบบ AI
ศูนย์ปฏิบัติการเครือข่ายอัจฉริยะ BNIC ของทรูฯ ยังคงทำงานตลอด 24 ชั่วโมง โดยใช้ระบบ AI Network Monitoring ในการตรวจสอบและบริหารเครือข่ายแบบเรียลไทม์ เพื่อให้โครงข่ายสื่อสารทั้งมือถือและอินเทอร์เน็ตบ้านสามารถให้บริการได้อย่างต่อเนื่องด้วยประสิทธิภาพสูงสุดในทุกสถานการณ์
ทรู คอร์ปอเรชั่น ยืนยันความพร้อมในการทำงานร่วมกับสำนักงาน กสทช., กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อร่วมบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และรักษาความต่อเนื่องของระบบสื่อสารในช่วงวิกฤตน้ำท่วมในครั้งนี้