กสทช. ร่วมกับองค์กรวิชาชีพสื่อและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดประชุมหารือแนวทางจัดการเนื้อหาที่รุนแรงต่อกลุ่มเปราะบางในสื่อ พร้อมเน้นย้ำความสำคัญของระบบบรรณาธิการ การกำกับดูแลกันเอง และการสร้างบรรทัดฐานทางสังคม เพื่อยกระดับคุณภาพการนำเสนอข่าวในระยะยาว
ณ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. ด้านกิจการโทรทัศน์ เป็นประธานในการประชุมหารือเพื่อหาแนวทางในการจัดการกับเนื้อหาที่มีความรุนแรงต่อกลุ่มเปราะบาง ซึ่งมีการนำเสนอซ้ำในสื่อมวลชน โดยมีตัวแทนจากองค์กรวิชาชีพสื่อ ผู้เชี่ยวชาญจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) และกรมสุขภาพจิต เข้าร่วมประชุม
การประชุมครั้งนี้มีขึ้นภายหลังเหตุการณ์ที่พิธีกรรายการโทรทัศน์ได้กล่าวถ้อยคำหยาบคายและเหยียดหยามผู้ป่วยซึมเศร้าและกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในรายการที่เผยแพร่บนสื่อออนไลน์ และมีการนำคลิปเนื้อหาดังกล่าวมาเผยแพร่ซ้ำในรายการโทรทัศน์บางช่อง
ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กล่าวว่า กสทช. ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับปัญหาความรุนแรงในเนื้อหาสื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันที่สื่อนำเนื้อหาจากแพลตฟอร์มออนไลน์มาผลิตซ้ำ ซึ่งอาจเป็นการขยายความรุนแรงและทำให้สังคมมองว่าการนำเสนอเนื้อหาเช่นนี้เป็นเรื่องปกติที่ยอมรับได้
นอกจากนี้ ยังมีการหารือจากผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ โดย นายแพทย์ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ อดีตที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต ชี้ให้เห็นว่าการสร้างตราบาป (stigma) ให้กับผู้ป่วยทางจิตจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อตัวผู้ป่วยและครอบครัว และหากเชื่อมโยงประเด็นนี้กับการเมือง อาจนำไปสู่ “hate speech” หรือคำพูดสร้างความเกลียดชัง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยเสนอว่าควรสร้างบรรทัดฐานทางสังคมให้เป็นเกราะป้องกัน hate speech ที่มีประสิทธิภาพยิ่งกว่ากฎหมาย
ขณะเดียวกัน นายไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ กรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สคส. ระบุว่าแม้สื่อมวลชนจะได้รับการยกเว้นใน พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล แต่การนำเสนอข้อมูลอ่อนไหวพิเศษ เช่น ข้อมูลสุขภาพ โดยไม่เป็นไปตามเงื่อนไขย่อมไม่ได้รับการยกเว้นและมีโทษทางอาญาได้ โดย สคส. ยินดีที่จะร่วมมือกับ กสทช. ในการพิจารณาเรื่องร้องเรียนที่ละเมิดกฎหมาย
ด้านตัวแทนองค์กรวิชาชีพสื่ออย่าง นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ และ นายสุปัน รักเชื้อ ประธานสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างบรรทัดฐานการกำกับดูแลกันเองในหมู่สื่อมวลชน และการให้ความรู้แก่ประชาชนถึงสิทธิในการร้องเรียนหากได้รับผลกระทบจากเนื้อหาสื่อที่ไม่เหมาะสม
นายพีระวัฒน์ โชติธรรมโม นายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย เสนอให้ กสทช. กำหนดเงื่อนไขให้ผู้รับใบอนุญาตส่งแผนผังการทำงานของระบบบรรณาธิการ เพื่อเป็นหลักประกันด้านคุณภาพการกลั่นกรองเนื้อหา ส่วน นายโกศล สงเนียม จากไทยพีบีเอส เสนอให้ กสทช. สร้างบรรทัดฐานที่ชัดเจนมากขึ้นในประกาศหรือเกณฑ์การอนุญาต เพื่อให้รายการทั้งออนแอร์และออนไลน์มีมาตรฐานเดียวกัน
ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง กล่าวสรุปว่า กสทช. ได้ตั้งคณะทำงานร่วมกับองค์กรวิชาชีพและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำแนวปฏิบัติ (recommended guidelines) สำหรับการรายงานข่าวเด็กและข่าวอาชญากรรมและเหตุการณ์ความรุนแรง ซึ่งจะมีการรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มย่อยในวันอังคารที่ 16 กันยายน 2568 เพื่อให้แนวปฏิบัติเหล่านี้มีความครบถ้วนสมบูรณ์และสามารถใช้อ้างอิงร่วมกันได้ต่อไป