CASE เผยผลวิจัยเพื่อการเปลี่ยนผ่านพลังงาน

Share

องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ), กระทรวงเศรษฐกิจ และการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศแห่งรัฐบาลเยอรมัน (BMWK), สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ERI) และ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ร่วมกันจัดงาน เสวนาสาธารณะ “จาก COP26 สู่ COP27: เดินหน้าภาคพลังงานสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน 2050″  ณ โรงแรม แกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ เพื่อเปิดเผยผลการศึกษา แนวทางการมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของประเทศไทย: การวางแผนระดับประเทศในระยะยาวและนัยยะด้านเศรษฐกิจและสังคม” (Towards a collective vision of Thai energy transition: National long-term scenarios and socioeconomic implications (TET2S) ดำเนินการภายใต้โครงการพลังงานสะอาด เข้าถึงได้และมั่นคง สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Clean Affordable Secure Energy for Southeast Asia – CASE)

หลังคณะผู้วิจัยได้ศึกษาเส้นทางลดคาร์บอนในภาคพลังงานที่ครอบคลุมในภาคการผลิตไฟฟ้า ภาคอุตสาหกรรม และภาคขนส่งของประเทศไทย ด้วยต้นทุนต่ำ พร้อมระบุหมุดหมายต่าง ๆ ที่ต้องทำให้ได้เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายใน พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) หรือ Carbon neutrality 2050 ตามที่ประเทศไทยได้ประกาศเจตนารมณ์ไว้ พร้อมกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายใน พ.ศ. 2608 (ค.ศ. 2065) ในเวที COP26 เมื่อปีที่ผ่านมา

โดยการนำเสนอผลการศึกษาในครั้งนี้ได้รับเกียรติ จาก มร.เกออร์ก ชมิดท์ เอกอัครราชทูตเยอรมันประจำประเทศไทย, ดร.วีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน, และ คุณไรน์โฮลด์ เอลเกส ผู้อำนวยการ GIZ ประจำประเทศไทยและมาเลเซีย ร่วมเปิดงาน

ดร.สิริภา จุลกาญจน์ นักวิจัยโครงการ CASE จาก สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้นำเสนอผลการศึกษาในหัวข้อ “เส้นทางสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในภาคพลังงาน 2050” เผยว่า การศึกษาของ โครงการ CASE มุ่งศึกษาแนวทางลดคาร์บอนในภาคพลังงาน เนื่องจากภาคพลังงานมีศักยภาพในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนสูง จึงต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้ได้มากที่สุดเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระให้กับอุตสาหกรรมที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ยาก (hard-to-abate sector) ลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของการใช้แหล่งกักเก็บคาร์บอน (carbon sink)

โดยผลการศึกษาชี้ว่าแผนพลังงานและนโยบายที่มีในปัจจุบัน ยังไม่เพียงพอสำหรับการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในภาคพลังงานได้ จึงเสนอภาครัฐ ผู้กำหนดนโยบายพิจารณาเส้นทางไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) ที่ต้องอาศัยเป้าหมายการลดคาร์บอนที่เข้มข้นขึ้นในภาคพลังงาน 

ข้อเสนอจากผลการศึกษา ระบุว่า ภาคการผลิตไฟฟ้าควรเน้นเพิ่มการผลิตที่มาจากแสงอาทิตย์และลม ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมควรใช้การผลิตไฟฟ้าโรงงาน จากเทคโนโลยีพลังงานประสิทธิภาพสูงและในภาคขนส่งควรปรับเปลี่ยนมาใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนระบบขนส่งสาธารณะ ระบบราง และพาหนะส่วนบุคคล

“เราคาดว่าต้นทุนเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน ที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า มีแนวโน้มลดลง สวนทางกับราคาเชื้อเพลิงฟอสซิลที่เพิ่มขึ้น หากเราสามารถทำตามเส้นทาง Carbon Neutrality ที่ โครงการ CASEนำเสนอภายใต้การศึกษานี้ได้ เรามีโอกาสบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทาง คาร์บอนได้โดยที่ไม่ทำให้ต้นทุนในภาคการผลิตไฟฟ้าสูงขึ้น โดยเส้นทางดังกล่าวอยู่บนสมมติฐานที่ระบบไฟฟ้ามีการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพโดยมีต้นทุนต่ำ (least cost optimization) และอาศัยเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน” ดร.สิริภา จุลกาญจน์ กล่าว

การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานตามแนวทางที่เสนอแนะดังกล่าวข้างต้น ยังสร้างประโยชน์ให้กับประเทศไทยได้อีกหลายทาง อาทิ การสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และการลดความเสี่ยง และการผันผวนจากราคาพลังงาน และการนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิล เป็นต้น

นอกจากนั้น ยังเกิดการสร้างประโยชน์ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนได้ถึง 4.5 ล้านล้านบาทระหว่างปี 2020-2050 ช่วยลดผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้า เช่น มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป(CBAM) ที่จะทำให้ไทยส่งออกได้ลดลง หรืออุตสาหกรรมย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น และการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ยังสามารถสร้างการจ้างงานในประเทศให้เพิ่มขึ้นได้ราว 8 ล้านตำแหน่งระหว่างปี 2020-2050 จากการเพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และลม อีกทั้งเป็นประโยชน์ต่อระบบสาธารณสุข และสิ่งแวดล้อม เพราะจะช่วยบรรเทาปัญหามลพิษทางอากาศ และทำให้อัตราการเสียชีวิตของผู้คน จากปัญหามลพิษทางอากาศลดลงได้ถึง 26,000 ราย ในระหว่างปี 2020-2050

นอกจากการนำเสนอผลงานทางวิชาการแล้ว ในงานดังกล่าวได้มีการจัดเวทีเสวนาสาธารณะ ในหัวข้อทบทวนคำสัญญาผู้นำไทยกับความเป็นไปได้สู่เวทีCOP27 ที่ได้รับเกียรติจาก คุณจิรวัฒน์ ระติสุนทร รองเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม (สผ.) คุณอาทิตย์ เวชกิจ รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศ.ดร. พรายพล คุ้มทรัพย์ นักวิชาการด้านพลังงาน และคุณสฤณี อาชวานันทกุล กรรมการผู้จัดการ ด้านการพัฒนาความรู้ บริษัท ป่าสาละ ซึ่งเป็นตัวแทนจากทุกภาคส่วน เข้าร่วมแลกเปลี่ยนอภิปรายถึงความคืบหน้าและความเป็นไปได้ในการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายใน พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) จากคำมั่นสัญญาผู้นำไทยใน COP26 ก่อนไปสู่ COP27 ในช่วงเดือน พ.ย.นี้