มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ย้ำบทบาท “มหาวิทยาลัยเพื่อประชาชน” เดินหน้าขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ด้วยนวัตกรรมล้ำสมัยกว่า 30 ผลงาน ที่พร้อมรับมือกับความท้าทายระดับชาติ ทั้งภัยพิบัติ พลังงาน เมือง อาหาร และสิ่งแวดล้อม พร้อมปิดช่องว่างความเปราะบางของประเทศ เพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน
มธ. ได้เปิดตัวนิทรรศการ “SDGs เพื่อประชาชน: นวัตกรรมเพื่อชีวิต – สร้างอนาคตที่ยั่งยืน” จัดแสดงผลงานวิจัยจากคณาจารย์และนักวิจัยหลากหลายสาขา สะท้อนความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาสังคมเชิงโครงสร้าง โดยหวังให้นวัตกรรมเหล่านี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของประชาชน สอดคล้องกับเป้าหมาย SDGs ทั้ง 17 ข้อของสหประชาชาติ
จากแนวคิดสู่การเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้
ศ. ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ในยุคที่ SDGs กลายเป็นวาระสำคัญของโลก ธรรมศาสตร์ได้ก้าวไปอีกขั้น โดยเปลี่ยนแนวคิดสากลให้เป็น “กลไกสร้างการเปลี่ยนแปลง” ที่เกิดขึ้นจริงในระดับพื้นที่ ผ่านการนำผลงานวิจัยไปต่อยอดในชุมชนและเชิงพาณิชย์ พร้อมบูรณาการองค์ความรู้จากหลากหลายสาขา ทั้งวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคมศาสตร์ สถาปัตยกรรม และการออกแบบ เพื่อพัฒนาผลงานวิจัยที่เป็นรูปธรรม
“สังคมไทยกำลังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างหลายมิติ ทั้งภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ และคุณภาพชีวิตที่ไม่เท่ากัน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง” ศ. ดร.ศุภสวัสดิ์ เน้นย้ำ และเสริมว่า รายงานจากสหประชาชาติชี้ว่าประเทศไทยยังคงมีความเหลื่อมล้ำทางรายได้สูงที่สุดในอาเซียน และมีอัตราผู้เสียชีวิตจากภัยพิบัติสูงติดอันดับในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ ธนาคารโลกยังระบุว่าไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 250 ล้านตัน CO₂ ต่อปี ขณะที่อัตราการบริโภคพลังงานเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 3-4% สวนทางกับการจัดการขยะและทรัพยากรที่ยั่งยืน “สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือสภาพชีวิตจริงของผู้คน และเป็นโจทย์ที่ SDGs ต้องตอบให้ได้อย่างเป็นรูปธรรม”
5 โซนหลักแห่งนวัตกรรมเพื่อชีวิต
ในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ขับเคลื่อนเป้าหมาย SDGs ด้วยนวัตกรรม ผ่านนิทรรศการที่รวบรวมผลงานวิจัย เทคโนโลยี และแนวคิดสร้างสรรค์กว่า 30 ผลงาน ครอบคลุมทั้งด้านภัยพิบัติ พลังงาน อาหาร เมือง และเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยแบ่งออกเป็น 5 โซนหลัก ได้แก่:
- โซนความพร้อมรับมือภัยพิบัติ (Resilience & Disaster Preparedness Zone): นำเสนอเทคโนโลยีเพื่อการเตือนภัยและรับมือแผ่นดินไหว เช่น เครื่องจำลองแผ่นดินไหว และระบบสื่อสารฉุกเฉิน EmergencyTU ที่ประชาชนสามารถใช้ได้แม้ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต
- โซนนวัตกรรมพลังงานสะอาดและโครงสร้างพื้นฐาน (Clean Energy & Infrastructure Innovation Zone): แสดงระบบ Solar Tracker, คอนกรีตไร้ซีเมนต์, หุ่นยนต์ใต้น้ำ และอื่นๆ
- โซนเมืองและถิ่นฐานมนุษย์อย่างยั่งยืน (Sustainable Urban & Public Spaces Zone): รวมนวัตกรรมอย่าง AI ดูแลต้นไม้, พื้นที่ออกกำลังกายสำหรับผู้พิการ และ Future Street ต้นแบบถนนแห่งอนาคต
- โซนสุขภาพและอาหารเพื่อชีวิตที่ดี (Health & Future Food Zone): นำเสนอเครื่องออกกำลังกายผู้ป่วย, อาหารฟังก์ชัน, และเทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น Microwave MedTech
- โซนเศรษฐกิจหมุนเวียนและนวัตกรรมเพื่อการผลิตที่ยั่งยืน (Circular Economy & Sustainable Production Zone): จัดแสดงบรรจุภัณฑ์ชีวภาพ, เส้นใยเหลือใช้เพื่อสิ่งทอใหม่, และปุ๋ยหมุนเวียน
ไฮไลต์นวัตกรรมเพื่อสังคมที่เท่าเทียม
ศ.ดร.ศุภสวัสดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือโซน “Resilience & Disaster Preparedness” ที่นำเสนอเทคโนโลยีเพื่อการเตือนภัยและรับมือแผ่นดินไหว รวมถึงระบบสื่อสารฉุกเฉิน EmergencyTU ที่สามารถส่งข้อมูลสำคัญและแจ้งเตือนผ่านโครงข่ายวิทยุพื้นฐานได้แม้ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต ตอบโจทย์การเข้าถึงเทคโนโลยีในพื้นที่ห่างไกล
ด้าน “Sustainable Urban & Public Spaces Zone” นำเสนอต้นแบบสวนสาธารณะที่รองรับการออกกำลังกายสำหรับผู้พิการ 7 ประเภท และ Future Street ต้นแบบถนนแห่งอนาคตที่ผสานข้อมูลการจราจร ความปลอดภัย และระบบสีเขียวเข้าด้วยกัน พร้อมเทคโนโลยีสื่อสารเชิงปฏิสัมพันธ์เพื่อสร้างพื้นที่สาธารณะที่ปลอดภัยและตอบสนองผู้ใช้หลากหลายกลุ่มในชุมชนเมือง
ในด้านสุขภาพและอาหาร โซน “Health & Future Food” นำเสนออาหารแห่งอนาคต เช่น ผักแผ่นอบกรอบ ที่คงคุณค่าสารอาหารและมีอายุการเก็บรักษายาวนาน เป็นต้นแบบการพัฒนา food innovation สำหรับผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ นอกจากนี้ ยังมีเครื่องออกกำลังกายสำหรับผู้สูงอายุ รวมถึงเทคโนโลยีด้านการแพทย์ที่ใช้เลเซอร์และไมโครเวฟในการวิเคราะห์และรักษาโรคร้ายแรง
ทุกโซนถูกออกแบบในรูปแบบอินเทอร์แอคทีฟที่ผู้เข้าชมสามารถมีส่วนร่วมได้จริง โดยนิทรรศการ “SDGs เพื่อประชาชน: นวัตกรรมเพื่อชีวิต – สร้างอนาคตที่ยั่งยืน” เปิดให้ประชาชนทั่วไป นักเรียน นิสิต นักศึกษา และผู้สนใจ เข้าร่วมเรียนรู้ ทดลอง และมีส่วนร่วมกับนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 30 กันยายน 2568
นวัตกรรมเพื่อทุกคน “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
“ธรรมศาสตร์มุ่งเน้นการสร้างนวัตกรรมที่ไม่เพียงเป็นผลงานเชิงวิชาการ แต่ยังสามารถนำไปต่อยอดในเชิงพาณิชย์ สาธารณสุข และสวัสดิการชุมชนได้จริง โดยยึดหลัก ‘ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง’ (Leave No One Behind)” ศ. ดร.ศุภสวัสดิ์ กล่าวทิ้งท้าย “ทุกผลงานจึงไม่ใช่เทคโนโลยีเพื่อคนบางกลุ่ม แต่ถูกออกแบบมาเพื่อคนทุกกลุ่มในสังคม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้พิการ เกษตรกรรายย่อย และผู้มีรายได้น้อย”
ภายในงานยังมีเวทีเสวนาจาก 3 นักวิจัยธรรมศาสตร์จากคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้แก่ ผศ.ดร.อมรเทพ จิรศักดิ์จำรูญศรี, ผศ.ดร.กฤติยา เขื่อนเพชร และ รศ. ดร.ธนิท เรืองรุ่งชัยกุล ที่จะมาถ่ายทอดมุมมองและแรงบันดาลใจในการพัฒนาองค์ความรู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม พร้อมเจาะลึกเบื้องหลังการพัฒนาและแนวทางนำผลงานวิจัยไปสู่การใช้งานจริง ตอกย้ำบทบาทของมหาวิทยาลัยในฐานะศูนย์กลางการบูรณาการศาสตร์ต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมาย SDGs อย่างเป็นรูปธรรม