ในสมรภูมิธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค (CPG) ที่การแข่งขันสูงลิ่ว “ความยั่งยืน” ไม่ได้เป็นเพียงกระแสตามแฟชั่น แต่ได้กลายเป็น “อาวุธลับ” ที่จะนำพาธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและสร้างผลกำไรได้อย่างยั่งยืน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นและการจัดการพลังงาน ชี้ชัดถึง 3 การเปลี่ยนแปลงสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจ CPG ก้าวข้ามข้อจำกัด และคว้าโอกาสในโลกยุคใหม่ได้อย่างชาญฉลาด
แม้ว่าเป้าหมายการลดคาร์บอนจะยังคงสำคัญ แต่สำหรับธุรกิจ CPG แรงกดดันจากนักลงทุนได้ผลักดันให้หลายองค์กรมุ่งเน้นไปที่การ “เพิ่มกำไรและผลตอบแทน” มากขึ้น จนอาจเกิดความเข้าใจผิดว่าต้องเลือกระหว่างความยั่งยืนกับผลกำไร ทว่า ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยืนยันว่า ทั้งสองสิ่งสามารถเติบโตเคียงข้างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วย 3 ปัจจัยสำคัญที่จะพลิกโฉมธุรกิจ CPG ได้แก่ การใช้พลังงานไฟฟ้า (Electrification), การทรานส์ฟอร์มด้วยดิจิทัล (Digital Transformation) และ เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circularity)
1. พลังงานไฟฟ้า: จุดพลังแห่งอนาคต สร้างทั้ง “เขียว” ทั้ง “กำไร”
การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดอาจดูท้าทาย โดยเฉพาะในกระบวนการผลิตอาหารที่ใช้พลังงานสูง แต่ชไนเดอร์ฯ ชี้ว่า การตรวจสอบระบบไฟฟ้าอย่างละเอียด การพิจารณาทางเลือกเสริม เช่น โรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (Microgrids) หรือสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) จะช่วยให้ธุรกิจ CPG สามารถเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยง และสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ซึ่งนำไปสู่การลดต้นทุนในระยะยาวและภาพลักษณ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
2. ดิจิทัลทรานส์ฟอร์ม: “สมองกล” ขับเคลื่อนประสิทธิภาพ สร้างความได้เปรียบ
หากพลังงานไฟฟ้าคือกระดูกสันหลัง ดิจิทัลทรานส์ฟอร์มก็คือสมองของอุตสาหกรรม CPG การลงทุนในระบบดิจิทัลที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นระบบอัตโนมัติในการผลิต การบริหารสินทรัพย์ หรือการควบคุมคุณภาพอาหาร ต้องเริ่มต้นจากการ “เข้าใจกระบวนการทำงานและบุคลากร” อย่างแท้จริง ชไนเดอร์ฯ เน้นย้ำว่า โรงงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดมักลงทุนในกระบวนการและบุคลากรมากกว่าเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวถึง 4 เท่า
ตัวอย่างเช่น Hochwald Foods ในเยอรมนี ได้นำระบบดิจิทัลแบบครบวงจรมาใช้ เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างโรงงานกับฝ่ายบริหาร ทำให้สามารถติดตามทุกอย่างได้อย่างราบรื่น เพิ่มประสิทธิภาพ และเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคต นอกจากนี้ การมีโครงสร้างเทคโนโลยีที่เหมาะสมยังช่วยปลดล็อกศักยภาพของ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการจัดการงานซ้ำๆ คาดการณ์ปัญหา และปรับปรุงการควบคุม ทำให้พนักงานมีเวลาโฟกัสกับงานที่มีมูลค่าสูงกว่า
3. เศรษฐกิจหมุนเวียน: สร้าง “คุณค่า” จาก “ของเหลือ” สู่ความยั่งยืนที่แท้จริง
รายงานจาก Ellen MacArthur Foundation เผยว่า อุตสาหกรรม CPG สามารถประหยัดต้นทุนวัตถุดิบได้ถึง 7 แสนล้านดอลลาร์ หากนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้บริโภคยุคใหม่ยังให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น และยินดีจ่ายเงินเพิ่มขึ้นสำหรับสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ชไนเดอร์ฯ ชี้ว่า ธุรกิจ CPG สามารถสร้างมูลค่าทางธุรกิจจากเศรษฐกิจหมุนเวียนได้หลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการ บริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน, การใช้วัตถุดิบอย่างคุ้มค่า (เช่น การนำของเหลือจากกระบวนการผลิตมาใช้ใหม่), และ นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ (การใช้บรรจุภัณฑ์รีไซเคิลได้ ลดการใช้เกินจำเป็น) การนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาผสานกับระบบดิจิทัล จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร ลดของเสีย และยกระดับความพึงพอใจของลูกค้า ซึ่งนำไปสู่ความยั่งยืนในระยะยาว
อนาคต CPG: ปรับตัววันนี้ เพื่อเติบโตอย่างยั่งยืนในวันหน้า
ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ย้ำว่า การใช้พลังงานไฟฟ้า การทรานส์ฟอร์มด้วยดิจิทัล และเศรษฐกิจหมุนเวียน ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็น “รากฐาน” สำหรับการสร้างความแตกต่าง ความยืดหยุ่น และความสำเร็จในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ธุรกิจ CPG ที่ปรับตัวไม่ทัน อาจพลาดโอกาสในการเติบโตอย่างน่าเสียดาย
สำหรับผู้ที่ต้องการเห็นอนาคตของอุตสาหกรรม CPG อย่างใกล้ชิด ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ขอเชิญเยี่ยมชมงาน Hannover Messe 2025 เพื่อสัมผัสประสบการณ์จริงของโรงงานผลิตแบบหมุนเวียน และค้นพบนวัตกรรมล่าสุดที่จะกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมนี้ ร่วมกันสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและเติบโตไปพร้อมกัน เพราะการเปลี่ยนแปลงไม่ได้น่ากลัว หากมีพันธมิตรที่เชี่ยวชาญพร้อมนำทาง