เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เร่งเครื่องเศรษฐกิจสีเขียว รายงานชี้ “วิธีการเชิงระบบ” กุญแจสำคัญ ปลดล็อก GDP เพิ่ม 1.2 แสนล้านดอลลาร์ ลดปล่อยก๊าซฯ 50%

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เร่งเครื่องเศรษฐกิจสีเขียว
Share

ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจมหภาคระดับโลก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) กำลังมองหาโอกาสใหม่ในการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยล่าสุด รายงานฉบับที่ 6 เรื่อง “เศรษฐกิจสีเขียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ซึ่งจัดทำโดย Bain & Company, GenZero, Google, Standard Chartered และ Temasek ที่เผยแพร่ในวันนี้ ชี้ให้เห็นว่า “วิธีการเชิงระบบ” คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ภูมิภาคบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ ควบคู่ไปกับการสร้างความมั่นคงทางพลังงานและขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดด

รายงานฉบับใหม่นี้เน้นย้ำว่า หากกลุ่มประเทศ SEA-6 (อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม) ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) จะสามารถ เพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ได้ถึง 120 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 2% สร้าง งานใหม่ได้มากถึง 900,000 ตำแหน่ง และ ลดช่องว่างการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากถึง 50% ภายในปี 2030

“วิสัยทัศน์เดิมๆ นั้นมองว่าภาวะเศรษฐกิจมหภาคในปัจจุบันจะชะลอความคืบหน้าในเศรษฐกิจสีเขียว แต่แท้จริงแล้ว เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอาจจะเห็นการเร่งตัวของการพัฒนา เมื่อรัฐบาล บริษัท และนักลงทุนปรับเปลี่ยนลำดับความสำคัญ ด้วยการมุ่งเน้นที่โซลูชันเชิงระบบที่สามารถขยายผลได้และมีผลกระทบเป็นวงกว้าง SEA สามารถกำหนดนิยามใหม่ให้กับเศรษฐกิจสีเขียว พลิกความท้าทายเป็นโอกาส โดยจะต้องขับเคลื่อนสองเป้าหมายควบคู่กัน คือ การลดการปล่อยคาร์บอนอย่างมีนัยสำคัญ และการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ภูมิภาคนี้บรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ พร้อมสร้างความมั่นคงและความมั่งคั่งในระยะยาว” Dale Hardcastle พาร์ทเนอร์และผู้อำนวยการร่วมของ Global Sustainability Innovation Center, Bain & Company กล่าว

รายงานฉบับนี้ชี้ว่า การบรรลุผลลัพธ์ที่สำคัญนั้น จำเป็นต้องทำความเข้าใจว่าเศรษฐกิจสีเขียวของ SEA เป็นระบบที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน โดยวิธีการเชิงระบบจะช่วยระบุต้นตอและอุปสรรคที่ทำให้เกิดการปล่อยคาร์บอนซ้ำๆ ค้นหาแนวทางแก้ไขที่มีผลกระทบสูง และให้ความสำคัญกับแนวทางที่มีศักยภาพในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เร่งเครื่องเศรษฐกิจสีเขียว

3 โซลูชันเชิงระบบสำคัญสำหรับ SEA:

รายงานได้นำเสนอ 3 โซลูชันเชิงระบบหลักที่จะเป็น Game Changer ในการขับเคลื่อนการเติบโตสีเขียวและการลดคาร์บอนในภูมิภาค ได้แก่:

  1. เศรษฐกิจชีวภาพเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Bioeconomy): แม้ว่าภาคเศรษฐกิจชีวภาพจะเป็นแหล่งจ้างงานสำคัญใน SEA แต่ปัจจุบันยังคงมีส่วนในการปล่อยคาร์บอนและการตัดไม้ทำลายป่า การเพิ่มมูลค่าในภาคเกษตรและการใช้ที่ดิน การสร้างมูลค่าจากของเสีย และการปฏิรูประบบในวงกว้าง พร้อมความร่วมมือระดับภูมิภาค APAC จะช่วยปลดล็อกศักยภาพมหาศาลของเศรษฐกิจชีวภาพอย่างยั่งยืน
  2. การพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้ารุ่นใหม่ (Next-Generation Grids): การขยายและปรับปรุงโครงข่ายไฟฟ้าเพื่อรองรับพลังงานหมุนเวียน ระบบกักเก็บพลังงาน และการเชื่อมต่อข้ามพรมแดนเป็นสิ่งจำเป็น รัฐบาลต้องมีบทบาทในการปฏิรูปกฎระเบียบเพื่อดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชนและการซื้อขายไฟฟ้าข้ามพรมแดน โครงการ Green Industrial Clusters ก็เป็นอีกแนวทางที่มีประสิทธิภาพ
  3. ระบบนิเวศเพื่อยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem): ภาคคมนาคมขนส่งทางถนนเป็นแหล่งปล่อยคาร์บอนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว SEA จำเป็นต้องเร่งสร้างอุปสงค์และยกระดับการผลิต EV ภายในประเทศ การพัฒนา Green Corridors สำหรับยานพาหนะเชิงพาณิชย์ และความร่วมมือกับ APAC ในด้านการลงทุนและห่วงโซ่อุปทานแบตเตอรี่จะช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านนี้

3 โซลูชันสนับสนุนเพื่อความสำเร็จ:

นอกจากโซลูชันเชิงระบบหลักแล้ว รายงานยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของ 3 โซลูชันสนับสนุน ได้แก่:

  1. การเงินเพื่อการเปลี่ยนผ่าน (Climate and Transition Finance): การสนับสนุนทางการเงินสำหรับธุรกิจสีเขียวยังคงมีช่องว่างอยู่มาก การเร่งนโยบายที่เอื้อต่อการลงทุน การพัฒนาบุคลากร และความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงการพัฒนากลไกทางการเงินรูปแบบใหม่ๆ
  2. ตลาดคาร์บอน (Carbon Markets): แม้ว่า SEA จะมีความคืบหน้าในการพัฒนาตลาดคาร์บอน แต่ยังต้องเร่งขยายผลเพื่อสร้างแรงจูงใจทางการเงินสำหรับการปกป้องและฟื้นฟูระบบนิเวศ การกระตุ้นอุปสงค์ พัฒนาอุปทาน และสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้ออำนวย พร้อมกลไกการปฏิบัติตามที่ชัดเจนเป็นสิ่งจำเป็น
  3. AI สีเขียว (Green AI): AI เป็นทั้งความท้าทายและโอกาสสำหรับเศรษฐกิจสีเขียว การบริหารจัดการผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของศูนย์ข้อมูล และการส่งเสริมการใช้ AI เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนในภาคส่วนต่างๆ เช่น เกษตรกรรม พลังงาน และคมนาคมขนส่ง ต้องได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจัง

ประเทศไทยมุ่งมั่นสู่ Net Zero:

รายงานยังได้กล่าวถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 30% ภายในปี 2030 โดยมีการเพิ่มเป้าหมายของภาคเอกชนและการเสริมความแข็งแกร่งของยุทธศาสตร์ระยะยาวผ่านแผนพลังงานแห่งชาติและแผนยุทธศาสตร์ชาติ การลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมโดยภาคเอกชนในปี 2024 มีมูลค่า 355 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเน้นไปที่อุตสาหกรรมซีเมนต์สีเขียวและพลังงานแสงอาทิตย์ การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของไทยได้รับการสนับสนุนจากนโยบายต่างๆ เช่น การเก็บภาษีคาร์บอน การรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบภาคบังคับ และการขยายเครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า

ความร่วมมือระดับภูมิภาค APAC กุญแจสู่ความสำเร็จ:

รายงานเน้นย้ำว่า ความร่วมมือระหว่าง SEA และ APAC มีความสำคัญอย่างยิ่งในการปลดล็อกศักยภาพของเศรษฐกิจสีเขียวอย่างเต็มรูปแบบ ผ่านความสัมพันธ์ทางการค้าที่แน่นแฟ้น ความกังวลด้านความมั่นคงทางพลังงานที่มีร่วมกัน เงินลงทุนจากต่างประเทศ และการร่วมมือด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงาน

“เหลือเวลาอีกเพียงห้าปีก่อนจะถึงปี 2573 เราจำเป็นต้องเร่งขับดันมาตรการและมุ่งเน้นโซลูชันที่ได้ผลจริงในระยะสั้นเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทุกภาคส่วนในภูมิภาคนี้มีโอกาสในการสร้างความเปลี่ยนแปลงผ่านวิธีการเชิงระบบมากขึ้น เพื่อที่จะสามารถสร้างสมดุลระหว่างความมั่นคงทางพลังงาน ความยั่งยืน และการเติบโตทางเศรษฐกิจ” Franziska Zimmermann กรรมการผู้จัดการฝ่ายความยั่งยืน ของ Temasek กล่าว

รายงานฉบับนี้เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีศักยภาพอย่างมากในการเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจสีเขียว หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างจริงจังและนำ “วิธีการเชิงระบบ” ไปปรับใช้ ภูมิภาคนี้ไม่เพียงแต่จะสามารถบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศเท่านั้น แต่ยังจะสามารถสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวได้อีกด้วย