แพทย์รามาฯ แนะป้องกันฝีดาษลิง พร้อมช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้

Share

การแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิง หรือ Mpox ยังคงเป็นประเด็นที่ทั่วโลกจับตามองอย่างใกล้ชิด หลังจากที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้โรคนี้เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ จากการแพร่กระจายที่รวดเร็วไปในหลายภูมิภาค ทั้งในยุโรป อเมริกา และเอเชีย สำหรับประเทศไทยเอง พบผู้ติดเชื้อรายแรกในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2565 และล่าสุดมีการรายงานผู้ติดเชื้อเคลด 1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่รุนแรงกว่าที่เคยระบาดมาก่อนหน้า ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2567

สถานการณ์ฝีดาษลิงในไทย: การเฝ้าระวังและการดูแลผู้ป่วย

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานสถานการณ์โรคติดเชื้อฝีดาษลิงในประเทศไทย โดยระบุว่า ณ วันที่ 6 กันยายน 2567 มีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมทั้งสิ้น 835 ราย แบ่งเป็นผู้ชาย 814 ราย คิดเป็นกว่า 97% ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด และผู้หญิง 21 ราย หรือประมาณ 2.51% ซึ่งพบมากที่สุดในกลุ่มอายุ 30-39 ปี จากยอดผู้ติดเชื้อ พบว่ามีคนไทยจำนวน 749 ราย และกรุงเทพมหานครมียอดผู้ติดเชื้อสูงสุดถึง 466 ราย

โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะโรงพยาบาลรัฐและโรงเรียนแพทย์ ได้ออกมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคฝีดาษลิง โดยเน้นย้ำว่าแม้โรคนี้จะมีการระบาดในหลายประเทศ แต่ยังไม่ถือว่าเป็นโรคที่มีการแพร่กระจายอย่างรุนแรงในประเทศไทย ประชาชนควรตื่นตัว แต่ไม่ควรตื่นตระหนก เนื่องจากโรคนี้ไม่แพร่กระจายผ่านการหายใจโดยตรง

ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับโรคฝีดาษลิง

ศ. พญ.ศศิโสภิณ เกียรติบูรณกุล อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ จากโรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า โรคฝีดาษลิงมีต้นกำเนิดในแถบแอฟริกา และติดต่อผ่านการสัมผัสกับสารคัดหลั่งของสัตว์ฟันแทะ เช่น กระรอก หนู และสามารถติดต่อจากสัตว์สู่คนหรือจากคนสู่คนได้ แม้จะมีการแพร่ระบาดไปทั่วโลกตั้งแต่ปี 2565 แต่ในประเทศไทยยังไม่พบว่ามีการติดเชื้อรุนแรงเช่นในต่างประเทศ

โรคฝีดาษลิงเกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่ม Orthopoxvirus ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับโรคฝีดาษหรือไข้ทรพิษ มีสองสายพันธุ์หลักคือ เคลด 1 และเคลด 2 โดยสายพันธุ์เคลด 2 ซึ่งแพร่ระบาดในปี 2565 มีอาการไม่รุนแรง และมีอัตราการเสียชีวิตเพียง 0.2% ขณะที่สายพันธุ์เคลด 1 ที่แพร่ระบาดในปี 2567 มีความรุนแรงมากกว่า และมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น สมองอักเสบ หรือปอดอักเสบ

การแพร่เชื้อและการป้องกัน

การติดต่อของโรคฝีดาษลิงมักเกิดขึ้นจากการสัมผัสสารคัดหลั่งของสัตว์หรือผู้ติดเชื้อ โดยเฉพาะการสัมผัสผิวหนังที่มีผื่นหรือตุ่มหนอง การติดต่อระหว่างคนมักเกิดขึ้นระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ การสัมผัสใกล้ชิด หรือพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การเปลี่ยนคู่นอนบ่อย อย่างไรก็ตาม ยังไม่พบว่าการแพร่ระบาดผ่านการหายใจ

อาการของผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงมักปรากฏในรูปของตุ่มหรือรอยโรคที่ผิวหนัง ซึ่งสามารถพัฒนาไปเป็นตุ่มหนองและแตกเป็นแผลได้ ตุ่มมักปรากฏบริเวณอวัยวะเพศและทวารหนัก และจำนวนตุ่มจะน้อยกว่าอีสุกอีใส อาการอื่น ๆ ที่พบบ่อยคือไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต และปวดกล้ามเนื้อ

การวินิจฉัยโรคสามารถทำได้โดยการตรวจประวัติของผู้ป่วย หากพบว่ามีประวัติการสัมผัสกับผู้ป่วยฝีดาษลิง หรือมีตุ่มในบริเวณอวัยวะเพศ อาจมีการตรวจโดยการเก็บตัวอย่างจากตุ่มส่งไปยังห้องปฏิบัติการ

แนวทางการรักษาและป้องกัน

ปัจจุบันโรคฝีดาษลิงยังไม่มียาต้านไวรัสที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ การรักษาจะมุ่งเน้นไปที่การรักษาตามอาการ เช่น การทำแผลและการดูแลไม่ให้แผลสกปรก การใช้ยาทาและขี้ผึ้งสำหรับรักษาตุ่มและรอยแผล

ในส่วนของการป้องกัน การฉีดวัคซีนสามารถทำได้ทั้งก่อนและหลังการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ โดยควรฉีดภายใน 4 วัน และไม่เกิน 14 วันหลังจากการสัมผัส ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยหรือเดินทางมาจากประเทศที่มีการระบาด ควรได้รับวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อ

สถานการณ์ในปัจจุบันและการช่วยเหลือผู้ป่วย

สำหรับผู้ที่ติดเชื้อฝีดาษลิงในประเทศไทย นอกจากจะได้รับสิทธิการรักษาตามระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าแล้ว มูลนิธิรามาธิบดี ยังจัดตั้งโครงการเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ โดยประชาชนสามารถร่วมบริจาคเพื่อสนับสนุนการรักษาผู้ป่วยที่ขาดแคลนทรัพยากรได้

การตื่นตัวและเฝ้าระวังเป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่ควรตื่นตระหนก ประชาชนควรติดตามข่าวสารและข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคฝีดาษลิงอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและป้องกันตนเองได้อย่างเหมาะสม