เนสท์เล่ (ไทย) เปิดตัว “ฟาร์มโคนมต้นแบบ” มุ่งขับเคลื่อนการเกษตรเชิงฟื้นฟู (Regenerative Agriculture) เพื่อยกระดับการจัดการฟาร์มโคนมของเกษตรกรไทยให้มีความยั่งยืนครบวงจร ทั้งในด้านการพัฒนาผลผลิต การดูแลสิ่งแวดล้อม และการเพิ่มรายได้ของเกษตรกร พร้อมส่งต่อผลิตภัณฑ์นมคุณภาพสูงสู่ผู้บริโภค
ความท้าทายของอุตสาหกรรมโคนมไทย
นางสาวสลิลลา สีหพันธุ์ ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายองค์กรสั
แนวทางดังกล่าวมุ่งเน้นการปกป้อง ฟื้นฟู และทดแทน โดยการฟื้นฟูดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ การสร้างความหลากหลายทางชีวภาพในแปลงหญ้า การลดการใช้ปุ๋ยเคมีด้วยปุ๋ยอินทรีย์จากมูลวัว ตลอดจนการใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์เป็นพลังงานทดแทน
แนวทางการทำฟาร์มโคนมเชิงฟื้นฟู
นายศิรวัจน์ ปิณฑะดิษ นักวิชาการเกษตรของเนสท์เล่ ระบุว่า การเกษตรเชิงฟื้นฟูมี 3 แนวทางสำคัญ ได้แก่ การพัฒนาการจัดการอาหารและโภชนะ การจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ และการสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทน เช่น การแนะนำเกษตรกรปลูกแปลงหญ้าผสมถั่วหลากชนิดเพื่อเสริมสารอาหารโปรตีนให้แม่โค ซึ่งส่งผลให้ปริมาณน้ำนมดิบเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 13.5 กิโลกรัมต่อตัวต่อวัน สูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศที่ 11.7 กิโลกรัม
นอกจากนี้ คุณภาพน้ำนมยังดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยระดับโปรตีนเพิ่มจาก 2.94% เป็น 3.02% ในปีที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนถึงสุขภาพของแม่โคที่สมบูรณ์ อีกทั้งยังช่วยยกระดับโภชนาการในผลิตภัณฑ์นมที่ส่งถึงมือผู้บริโภค
การจัดการของเสียและการลดคาร์บอน
เนสท์เล่ยังสนับสนุนการจัดการมูลโคโดยการนำมูลมาตากแห้งเพื่อผลิตเป็นปุ๋ยอินทรีย์สำหรับแปลงหญ้าอาหารสัตว์ ซึ่งช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน และสร้างรายได้เสริมให้เกษตรกรกว่า 40,000 บาทต่อปี นอกจากนี้ การติดตั้งบ่อไบโอแก๊สยังช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทน โดยก๊าซที่ได้ถูกนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในครัวเรือน
สำหรับพื้นที่ที่มีข้อจำกัดด้านสาธารณูปโภค เนสท์เล่ได้สนับสนุนการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์สำหรับสูบน้ำบาดาลและใช้ในครัวเรือน ซึ่งช่วยลดต้นทุนพลังงานและเพิ่มความสะดวกในการบริหารจัดการฟาร์ม
ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทย
นายวรวัฒน์ เวียงแก้ว ตัวแทนเกษตรกรในอำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า การนำแนวทางการเกษตรเชิงฟื้นฟูมาปรับใช้ในฟาร์มของเขา ช่วยเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุน พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนระบบฟาร์มให้ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ 100% และเพิ่มรายได้จากการจำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์
มุ่งหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero 2050
เนสท์เล่ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เหลือศูนย์ภายในปี 2050 โดยใช้วัตถุดิบจากฟาร์มโคนมที่ดำเนินการตามหลักความยั่งยืน 100% ผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ยอดนิยมอย่างไมโล ตราหมี และเนสกาแฟ พร้อมส่งเสริมการจัดการสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการสนับสนุนเกษตรกรไทย
ฟาร์มโคนมต้นแบบของเนสท์เล่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการบูรณาการความยั่งยืนและการพัฒนาสินค้าคุณภาพ เพื่อสร้างประโยชน์ให้ทั้งสิ่งแวดล้อม เกษตรกร และผู้บริโภคอย่างยั่งยืนในระยะยาว